มีดซุยฝรั่ง

กลุ่มงานศิลปหัตถกรรม ประเภทงานหัตถศิลป์ไทย

มีดซุย คือ มีดแบบสั้นที่ใช้เป็นอาวุธประจำกายตามวิถีล้านนาแต่เก่าก่อน คำว่า ซุย หมายถึง แทงหรือผลักดันหรือแทงซ้ำ  มีดซุยฝรั่งของครูเสถียรเป็นมีดที่ได้มาจากครูช่างตีมีดในจังหวัดลำปาง มีแบบมาจากชาวตะวันออก ครูเสถียรเห็นถึงแบบใบมีดที่มีความแตกต่างจากของไทยจึงสนใจ นำมาเติมด้ามมีดและปลอกมีด แล้วตกแแต่งลวดลายในรูปแบบของงานเครื่องเขินโดยเลือกทำลวดลายในแบบศิลปะไทยใหญ่ซึ่งเป็นชาติพันธุ์ที่ได้รับอิทธิพลด้านศิลปะมาจากชาวตะวันออกมากที่สุด เพื่อให้ลวดลายมีความกลมกลืนเข้ากันกับแบบของใบมีดแบบฝรั่ง ใช้เทคนิคการแกะสลัก ขวักจี (ขวัก คือการขุดออก จี คือ การใช้ไม้แหลมเจาะเป็นรู) ด้ามมีดทำจากไม้ดอกพิกุล แกะสลักเป็นลายดอกงุ้ม (ดอกไม้ที่ยังไม่บาน) ซึ่งเป็นลวดลายไทยใหญ่ แล้วลงรักทาชาด  ส่วนของฝักมีดทำจากไม้จำปาลาวหรือไม้ลีลาวดี ครูเสถียรสร้างความแตกต่างจากรูปแบบของฝักมีดทั่วไป คือการคว้านไม้ให้ด้านโค้งเป็นส่วนสันด้านบน ใช้เทคนิคการลงรักทั้งฝัก ตกแต่งด้วยการลงรักแล้วเขียนชาดบริวณหัวและท้าย ตัวฝักเขียนชาดเป็นลวดลายศิลปะไทยใหญ่ ได้แก่ลายพรรณพฤกษา ผสมลายฝรั่ง ได้แก่ลายใบองุ่น แล้วขูดลายไปตามลวดลาย  สำหรับมีดซุยฝรั่งชิ้นนี้ครูเสถียรทำขึ้นสำหรับใช้ประจำตัว นอกจากจะใช้ตัดหรือฟันสิ่งของแล้ว ยังใช้เป็นเครื่องมือในการแกะสลัก ที่สำคัญยังเป็นเครื่องมือที่แสดงถึงเอกลักษณ์ในเชิงช่างของครูเสถียรอีกด้วย

ประเภทงานหัตถกรรม :
เครื่องรัก
กลุ่มวัฒนธรรม :
ไทย-ล้านนา
ผู้สร้างสรรค์ :
ขนาด :
เฉพาะมีดและปลอก กว้าง 48 เซนติเมตร หนา 3 เซนติเมตร
วัสดุ :
1. มีดซุย (มีดพกสั้นแบบโบราณ) 2. ไม้ดอกพิกุล และไม้จำปาลาว (ลีลาวดี) 3. ยางรัก 4. ชาด 5. หินขาว 6. น้ำมันลินสิด 7. ทองคำเปลว
อายุ/ปีที่ผลิต :
2549
รายละเอียดชิ้นงาน

เทคนิคที่ใช้ :  แกะสลัก ลงรัก ทาชาด เขียนชาด ขูดลาย
กระบวนการสร้างสรรค์ชิ้นงาน (โดยละเอียด) :
1. การเตรียมยางรัก : ยางรักที่มีคุณภาพควรมีอายุหลังเจาะจากต้นอย่างน้อย 1 ปี นำยางรักไปตากแดดให้ร้อนเพื่อให้รักละลาย แล้วนำมากรองครั้งที่หนึ่งด้วยตะแกรงมุ้งลวด กรองครั้งที่สองด้วยตะแกรงทองเหลือง และกรองครั้งที่สามด้วยผ้าใยบัว เพื่อกรองเอาเศษผงหรือสิ่งสกปรกออกให้หมด จากนั้นนำยางรักบรรจุใส่ภาชนะเตรียมพร้อมเพื่อนำไปใช้งาน โดยในขณะเก็บให้เทน้ำใส่ไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ยางรักแห้ง และหมั่นเติมน้ำอย่างสม่ำเสมอตลอดระยะเวลาการเก็บ

2. การเตรียมสีแบบโบราณ : ครูเสถียรใช้วัสดุให้สีจากธรรมชาติตามวิธีแบบโบราณ ซึ่งเอกลักษณ์การทำเครื่องเขินของครูเสถียรจะใช้สีหลากหลายตามจินตนาการ แตกต่างไปจากเครื่องเขินทั่วไปที่นิยมใช้เฉพาะสีดำและสีแดงเท่านั้น โดยครูเสถียรจะเริ่มต้นจากการทำสีจากวัสดุให้สีเป็นแม่สีก่อน แล้วค่อยผสมแม่สีเป็นสีต่างๆ ตามความต้องการ โดยสีต่างๆ มาจากวัสดุให้สีธรรมชาติ ได้แก่

  • สีแดง (แม่สี) มาจากชาด เป็นผงสีแดงที่ได้มาจากการถลุงแร่ซินนาบาร์ (Cinnabar)
  • สีเหลือง (แม่สี) มาจากหรดาล เป็นผงสีเหลืองทอง มาจากเป็นแร่ธาตุชนิด
  • สีน้ำเงิน (แม่สี) มาจากหินลาพิสลาซูลี (Lapis lazuli) เป็นหินสีน้ำเงินเข้มมีเกร็ดสีทองจากแร่ไพไรต์ เมื่อนำมาใช้ต้องนำมาบดให้เป็นผงละเอียด
  • สีเขียว เป็นการผสมสีของหรดาลและหินลาพิสลาซูลี
  • สีขาว มาจากหินขาว นำมาจากประเทศอินเดีย
  • สีดำ มาจากยางรัก

เมื่อต้องการใช้สีครูเสถียรจะนำวัสดุให้สีมาผสมกับน้ำมันลินสิด (เป็นน้ำมันใสที่ลอยตัวขึ้นมาของสีน้ำมัน) หรือน้ำมันก๊าด นำมาใส่โกร่งบดผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วเติมยางรักลงไป หากต้องการให้สีอ่อนลงจะเติมหินขาวลงไป เมื่อคนจนเข้ากันแล้วให้ทิ้งไว้ 1 คืน แล้วจึงแบ่งมาใช้ในปริมาณที่เหมาะสม สีที่เหลือสามารถเก็บไว้ใช้ได้เพราะยิ่งทิ้งไว้นานเท่าไหร่สีจะสดมากขึ้น

3. การเตรียมรักสมุก : หากชิ้นงานที่ต้องมีการปรับเติมพื้นผิวจะใช้รักสมุกในการอุดหรือเคลือบผิวให้หนามากขึ้น โดยรักสมุกจะเตรียมโดยการนำเอารักส่วนที่แห้ง (ส่วนที่เป็นผิวหน้าบนของรักที่เก็บไว้ในภาชนะ) นำมาบดเป็นผงผสมกับดินสอพองคนให้เป็นเนื้อเดียวกัน

4. การเตรียมชิ้นงาน : กำหนดลักษณะของชิ้นงาน ออกแบบลวดลายลงบนกระดาษ แล้วผลิตชิ้นงานขึ้นตามแบบ เมื่อได้ชิ้นงานมาแล้วทำความสะอาดพื้นผิว หากเป็นวัสดุที่ทำจากไม้ ใช้กระดาษทรายขัดให้ผิวเรียบ

5. การลงรักสมุก : หากชิ้นงานที่ต้องมีการปรับเติมพื้นผิวให้นำรักสมุกที่เตรียมไว้มาทาลงบนผิวชิ้นงาน รอให้แห้งประมาณ 1 สัปดาห์ แล้วขัดให้เรียบเนียน

6. การลงรัก  : นำยางรักที่เตรียมไว้มาทาลงพื้นผิวรองพื้นชิ้นงานให้เป็นสีดำ แล้วทิ้งไว้ให้แห้งประมาณ 1 สัปดาห์

7. การสร้างสรรค์สวดลาย : ออกแบบการสร้างสรรค์ลวดลาย หากส่วนใดต้องการสีพื้นเป็นสีดำให้ปล่อยทิ้งไว้ ส่วนพื้นที่ที่อยากให้เป็นสีแดงสามารถทาชาดลงไปตามสัดส่วนและลวดลายที่ต้องการตามเทคนิควิธีการของการทำเครื่องเขินโบราณ ได้แก่

  • เทคนิคการทาชาด ปิดทอง ฮายลายหรือขูดลาย

1.เมื่อแบ่งสัดส่วนชิ้นงานได้แล้วจึงทาชาดที่ผสมรักไว้บนชิ้นงานในส่วนที่ต้องการให้เป็นสีแดง แล้วทิ้งไว้ให้แห้งพอหนืดๆ จึงปิดทองแล้วใช้พู่กันปลายแบนเกลี่ยให้พื้นทองเนียนเรียบ
2.เมื่อแห้งดีแล้ว นำไปตกแต่งด้วยการขูดลายหรือฮายลายได้ โดยการขูดลายนั้นจะต้องตกแต่งลายไว้ก่อน (ทำกรอบของลวดลายที่ต้องการแล้วจึงฮายลายเพิ่มรายละเอียดของลวดลาย)
ข้อพึงระวังในขั้นตอนการฮายลายหรือขูดลายไม่ควรใช้มือสัมผัสกับชิ้นงานโดยตรง เพราะจะทำให้เนื้อทองเสียหาย ควรใช้ผ้าหุ้มชิ้นงานไว้อีกชั้นหนึ่ง

  • เทคนิคการปิดทองลายคำ

1. นำกระดาษที่ฉลุลายไว้ มาติดบนชิ้นงานที่ต้องการปิดทอง
2. จากนั้นนำชาดที่ผสมกับรักมาทางในช่องที่ฉลุลายไว้ ทิ้งให้แห้ง พอหนืดๆ ไม่ติดมือจึงสามารถปิดทองได้
3. ใช้ทองคำแผ่นมาปิดบนชิ้นงาน เริ่มจากด้านบนของชิ้นงาน เพื่อทองจะได้ไม่ปลิว โดยให้ทองปิดลงไปติดในช่องที่เราฉลุไว้ จากนั้นใช้นิ้วกรวดทองให้เรียบ เมื่อแห้งดีแล้ว ดึงกระดาษแบบฉลุออก จะปรากฏลวดลายทองบนชิ้นงานที่ต้องการ

  • เทคนิคการเขียนชาด เป็นการเขียนลวดลายบนเครื่องเขินที่ทารักไว้แล้ว

1. ผสมชาดกับรัก ในโกร่ง (ครกบดยา) ให้เข้ากัน หากข้นเกิดไปให้ใช้น้ำมันสนเพื่อลดความเข้มข้นให้พอดีที่จะสามารถนำมาเขียนลายได้ คนให้เข้ากันจนแน่ใจว่าชาดกับรักเป็นเนื้อเดียวกันไม่เป็นก้อน
2. จุ่มพู่กันในชาดที่ผสมไว้ แล้วเขียนลายตามต้องการบนชิ้นงาน หากเขียนผิดหรือต้องการลบเพื่อเขียนใหม่ให้ใช้ผ้าชุบน้ำมันสนลบออก ในขณะที่ชาดยังไม่แห้ง

หัวใจสำคัญของการทารัก คือระยะเวลาของการทารักหรือทาชาดที่ต้องการให้ได้ผลงานที่มีคุณภาพ ต้องทาให้แห้งสนิทก่อน โดยทั่วไปต้องทิ้งไว้อย่างน้อย หนึ่งเดือนครึ่ง จึงจะทำให้ผลงานที่ได้สมบูรณ์ ส่วนการฮายลายหรือขูดลายนั้นต้องทิ้งไว้อย่างน้อย 2-3 เดือน จึงจะได้งานที่มีคุณภาพ

ข้อมูลแหล่งที่มา