ผ้าซิ่นตีนจกลายดอกสักขอเจ้าฟ้า

กลุ่มงานศิลปหัตถกรรม ประเภทงานหัตถศิลป์ไทย

ผ้าซิ่นจกลายดอกสักขอเจ้าฟ้า เป็นผลงานชิ้นพิเศษที่ครูประนอม ทาแปง ได้ออกแบบนำลวดลายผักแว่นของผ้าจกเมืองลอง ไท- ยวน โยนกเชียงแสน มาออกแบบเพิ่มลวดลายเกสรดอกเกิดเป็นลายดอกสัก ซึ่งถือเป็นลายอัตลักษณ์ของจังหวัดแพร่ ที่เกิดจากดำริของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแพร่ มีนโยบายส่งเสริมให้กลุ่มทอผ้า ได้ออกแบบลวดลายผ้าทอให้เป็นลายเอกลักษณ์ของจังหวัด และมีความเห็นตรงกันว่า ไม้สักถือเป็นไม้มีค่าที่มีมากในพื้นที่จังหวัดแพร่ จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้กลุ่มทอผ้าต่างๆ ได้ไปออกแบบลายดอกสักเพื่อมาใช้เป็นลายผ้าทออัตลักษณ์ของจังหวัดแพร่  ในคราวนั้นกลุ่มทอผ้าจกเมืองลอง จึงได้นำลายผักแว่นซึ่งเป็นลายผ้าจกโบราณ มาประยุกต์เพิ่มลวดลายเกสรดอก ให้กับลายผักแว่น ผสมผสานผูกลายเข้ากับลายขอเจ้าฟ้าส่งเข้าประกวด จนได้รับรางวัลชนะเลิศ นำลายดอกสักทอเผยแพร่และส่งเสริมให้หน่วยงานราชการในจังหวัดนำไปตัดใช้จนเกิดเป็นความนิยมแพร่หลาย   โดยการออกแบบนั้นได้ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยแกะลาย ให้อ่านง่ายและสะดวกในการเผยแพร่ให้กลุ่มทอผ้าต่าง ๆ นำไปขยายผลการเรียนรู้เกิดเป็นรายได้ที่สร้างความมั่นคงให้กับกลุ่มทอผ้าตีนจกในพื้นที่ภาคเหนือมาต่อเนื่อง
สำหรับผ้าซิ่นจกลายดอกสักขอเจ้าฟ้า จะใช้สีฟ้ากับสีดำเป็นสีพื้น จกเติมสีด้วยสีเหลืองสลับสีส้มและสีฟ้า ซึ่งครูประนอมได้รับเกียรติให้ร่วมแสดงการสาธิตทอผ้าจกเมืองลองถวายแด่  สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง จึงโว้นฝ้ายเป็นสีฟ้า เพื่อร่วมถวายพระเกียรติยศแด่พระพันปีหลวง โดยผ้าซิ่นจกลายดอกสักนี้  มีองค์ประกอบของผ้าต่างจากผ้าซิ่นตีนจกไท-ยวน ทั่วไปคือมีเพียง 2 ส่วนได้แก่

  • ตัวซิ่น เป็นลายดอกสัก  มีองค์ประกอบลายหลักคือ ลายดอกสักผูกลายขอเจ้าฟ้า ผูกลายสลับเป็นลายหลักและลายประกอบตั้งแต่เอวซิ่นจนถึงตัวซิ่น
  • ตีนซิ่น เป็นตีนจก ประกอบด้วย  ลายดอกสักผสมกับลายหางสะเปา (หางสำเภา) ซึ่งเป็นลายโบราณผ้าจกไท-ยวน โยนกเชียงแสน
ประเภทงานหัตถกรรม :
เครื่องทอ
กลุ่มวัฒนธรรม :
ไท-ยวน
ผู้สร้างสรรค์ :
ขนาด :
กว้าง 100 เซนติเมตร ยาว 180 เซนติเมตร
วัสดุ :
เส้นฝ้าย 2. น้ำด่าง ( น้ำผสมสบู่เหลว หรือ น้ำยาล้างจาน) 3. วัตถุดิบให้สีจากธรรมชาติ ได้แก่ - ไม้เข หรือ แก่นไม้ขนุน ให้สีเหลือง - ครั่ง ให้สีแดง หรือสีชมพู - คราม ให้สีน้ำเงิน - ไม้เขให้สีเหลือง แล้วย้อมทับด้วยคราม ให้สีเขียว - คราม และครั่ง ให้สีม่วง - เปลือกไม้รัง หรือ ไม้เต็ง ให้สีน้ำตาลทอง 4. สารธรรมชาติช่วยในกระตุุ้นสีและให้ติดสี (mordant) เช่น สารส้ม เกลือ น้ำด่าง
อายุ/ปีที่ผลิต :
2566
รายละเอียดชิ้นงาน

เทคนิคที่ใช้ : การทอจก
กระบวนการสร้างสรรค์ชิ้นงาน (โดยละเอียด) :

  1. ออกแบบลวดลาย
    ครูประนอมใช้วิธีการออกแบบลายผ้าจากจินตนาการ ผูกให้เป็นลวดลายต่อเนื่อง ลงบนกระดาษแล้วออกแบบลวดลายในโปรแกรมคอมพิวเตอร์เหมือนกับการปักครอชติช ซึ่งสะดวกต่อลูกทอกลุ่มสมาชิก สามารถทำตามได้ โดยเน้นไปที่การออกแบบลวดลายเอกลักษณ์ของจังหวัดแพร่ ที่มีไม้สักเป็นต้นไม้ที่พบมากในพื้นที่ มาออกแบบผสมผสานกับลายขอเจ้าฟ้า ซึ่งเป็นลายที่กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มผู้นิยมผ้าไทย เกิดเป็นผ้าจกลายดอกสักร่วมสมัย
  2. การฟอกฝ้าย
    นำเส้นฝ้ายที่ได้จากการปั่นฝ้ายมาทำความสะอาดไขมันในเส้นใยครั้งสุดท้ายด้วยการต้มน้ำเดือด ใส่สบู่เหลว หรือ น้ำยาล้างจานในอัตราส่วนน้ำ 20 ลิตรต่อน้ำยาล้างจานเข้มข้น 3-4 ซ้อนโต๊ะคนให้ละลายเข้ากัน  นำเส้นด้ายใส่ลงไปในหม้อต้ม ให้น้ำพอท่วมเส้นด้ายอย่าใส่จนแน่นเกินไป หมั่นกลับพลิกเส้นฝ้าย เพื่อให้ทำความสะอาดได้อย่างทั่วถึง ต้มทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วนำเส้นด้ายขึ้นจากหม้อต้ม แขวนให้เส้นฝ้ายคลายความร้อนและสะเด็ดน้ำ จากนั้นนำเส้นใยฝ้ายไปล้างน้ำให้สะอาดจนหมดฟอง บิดพอหมาดกระตุกให้เส้นด้ายเรียงตัว ตากจนเส้นใยฝ้ายแห้งเพื่อรอการย้อมสีธรรมชาติตามต้องการ แล้วจึงนำเส้นใยฝ้ายสีมากวักเรียงให้เป็นระเบียบ เพื่อรอการค้นทำเครือสำหรับการใช้งาน
  3. การย้อมฝ้าย ย้อม โดยใช้วัตถุดิบให้สีจากธรรมชาติ ได้แก่
    • ไม้เข หรือ แก่นไม้ขนุน ให้สีเหลือง
    • ครั่ง ให้สีแดง หรือสีชมพู
    • คราม ให้สีน้ำเงิน
    • ไม้เข ให้สีเหลือง แล้วย้อมทับด้วยคราม ให้สีเขียว
    • คราม และครั่ง ให้สีม่วง
    • เปลือกไม้รัง หรือ ไม้เต็ง ให้สีน้ำตาลทอง
    -  การย้อมไหมจากวัตถุดิบให้สีที่เป็นเปลือกไม้  ใช้อัตราส่วนเปลือกไม้ 4 กิโลกรัม ต่อ ไหม 1 กิโลกรัม ต่อ น้ำประมาณ 20 ลิตร นำเปลือกไม้มาทุบให้แตก แช่น้ำไว้ 1คืน แล้วนำมาต้มน้ำเดือด ประมาณ 2 ชั่วโมง ทิ้งไว้ซักพักกรองเอากากไม้ออก นำเส้นไหมที่ทำความสะอาดแล้ว ใส่ห่วง จำนวน 5 ไจ ต่อ 1 ห่วง ต้มในอุณหภูมิ 50-60 องศาเซลเซียส โส่สารเคลือบหรือกระตุุ้น (mordant) เช่น สารส้ม เกลือ น้ำด่าง พลิกกลับทุก 5 นาที ใช้เวลาต้มประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วยกใส่ภาชนะที่ปิดฝามิดชิด (ห้ามใช้ภาชนะที่เป็นโลหะ) ทิ้งไว้ 1 คืนแล้วจึงนำมาล้างที่อุณหภูมิปกติจากนั้นนำไปตากให้แห้ง
    - การย้อมฝ้ายจากวัตถุดิบให้สีที่เป็นใบไม้ ให้นำใบไม้มาสับแล้วใช้อัตราส่วนและวิธีการย้อมเช่นเดียวกันกับเปลือกไม้ทุกขั้นตอน
  4. กวักฝ้าย หรือ กรอฝ้าย
    เป็นการนำเส้นฝ้ายที่ย้อมสีและตากจนแห้งแล้วมาเข้าเครื่องกวัก ด้วยการหมุนให้ไหมพันรอบกวัก เพื่อให้ไหมมีความเรียบตึงเสมอกัน เพื่อพักไว้ก่อนนำไปโว้นไหมหรือปั่นหลอด
  5. โว้นฝ้าย หรือเครือฝ้าย (ภาษาเหนือเรียกเส้นยืนว่าเครือ)
    คือ การทำฝ้ายเป็นเส้นยืนหรือเครือหูก โดยการนำเส้นฝ้ายจากกวัก พาดผ่านบนราวด้านบนเแล้วดึงลงมาใส่ เผียขอ (หลักไม้มีขอตั้ง แที่ใช้เดินไหมหรือเครือไหม) เดินไหมตามระยะที่คำนวณไว้แล้ว เพื่อให้ได้ความกว้างและความยาวของผ้าตามที่ต้องการ แล้วนำไหมจากเผียขอมาพาดบนกี่เพื่อเตรียมสืบเส้นยืน (เครือหูก)
  6. สืบเส้นยืนและเข้าตะกอ
    ด้วยการสืบฝ้ายเส้นยืนเข้ากับแกนม้วนเส้นยืน และร้อยปลายฝ้ายแต่ละเส้นเข้าในตะกอและฟันหวี ด้วยการสอดเส้นไหมเข้าฟันหวีที่มีความละเอียด 40 ช่อง ต่อ 1 หลบ (80 เส้น) สำหรับการสอดเข้าฟันหวีในส่วนที่จก ให้สอดเส้นไหมเข้าช่องละคู่ (2 เส้น) ในส่วนที่เป็นริมผ้าให้สอดช่องละ 2 คู่ (4 เส้น) ม้วนฝ้ายที่เข้าฟันหวีเข้ากับสะป้าน (ไม้กลึงกลม, เหลากลม หรือวัสดุที่เรียบกลม) เพื่อให้ไหมตึงเรียบเสมอตลอดความยาว ส่วนด้านข้างของเส้นไหมทั้งสองข้างหนีบด้วยไม้ผัง เพื่อไม่ให้ขอบผ้าสอบเข้า หรือกลางออกขณะทอ
  7. เตรียมฝ้ายเส้นพุ่ง
    กรอฝ้ายที่ย้อมแล้วใส่หลอด (ทำจากไม้ไผ่ หรือวัสดุเหมาะสม มีรูตรงกลาง)  กรอใส่ในปริมาณที่เหมาะสม นำไปบรรจุกระสวย โดยนำไม้ก้านมะพร้าว หรือวัสดุแท่งตรง ความยาวตามช่องกลางกระสวย สอดเข้าไปในรูแกนของหลอดแล้วนำไปใส่ช่องในกระสวย สอดก้านแกนยึดไปในช่องที่หัวกระสวย เพื่อป้องกันไม่ให้แกนหลอดหลุดออกจากกระสวยขณะทอ
  8. ทอผ้า
    การทอซิ่นหนึ่งผืนจะใช้กรรมวิธีการทอ 2 อย่าง คือการทอธรรมดา และ การทอจก
    การทอธรรมดา โดยการเหยียบไม้ที่ผูกตะกรอ เส้นยืนจะถูกแยกออก และเกิดช่องว่างให้สอดกระสวยด้ายพุ่งผ่านได้ เมื่อพุ่งกระสวยแล้วต้องกระทบฟืมทุกครั้ง เพื่อให้ด้ายพุ่งแนบติดกัน หรือทอคล้องกับเส้นด้ายของกระสวยที่อยู่กับที่แล้วไขว้เส้นด้ายกันก่อนพุ่งกลับ เมื่อพุ่งกระสวยแล้วให้กระทบฟืมทุกครั้ง เพื่อให้ด้ายพุ่งแนบติดกันจนได้เนื้อผ้าที่แน่นหนาโดยให้กระทบแรงพอประมาณ ไม่ต่ำกว่า 2 ครั้ง
    การทอจก  เป็นเทคนิคการทอผ้าเพื่อให้เกิดลวดลายต่างๆ โดยเพิ่มเส้นพุ่งพิเศษ สอดขึ้นลง ด้วยการใช้ขนเม่น ไม้ หรือนิ้ว จกเส้นยืนขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดเป็นลวดลายเป็นช่วง ๆ สามารถทำสลับลวดลายได้หลากสี เป็นการจกแบบ “คว่ำลายลง” คือ จกจากด้านหลังของผ้า  เมื่อจกครบแถวให้พุ่งกระสวย 1 ครั้ง (โดยกระสวย 1 อยู่กับที่และใช้อีกกระสวย 1 พุ่งเส้นด้ายมาคล้องกับเส้นด้ายของกระสวยที่อยู่กับที่) แล้วกระทบฟืมอย่างน้อย 2 ครั้ง ส่วนการเก็บเงื่อนเส้นจกใช้วิธีการเก็บด้านบน โดยต้องเก็บให้เป็นให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีเส้นไขว้กันไปมา จะเก็บเมื่อเริ่มต้นขึ้นลวดลายใหม่ หรือเก็บเมื่อต่อเส้นจกเมื่อเส้นจกลายหมด เมื่อทอและจกเสร็จแล้วนำออกจากอุปกรณ์ ผ้าที่ได้ต้องมีลวดลายแน่นเรียบคล้ายกันทั้งด้านหน้าและด้านหลัง สามารถใช้ได้ทั้งสองหน้า สังเกตได้คือเมื่อขยี้ด้วยมือตรงลวดลายก็ไม่มีขาดหรือหลุดลุ่ยนั่นเอง
  9. เย็บต่อผ้าซิ่น
    เพื่อประกอบผ้าส่วน ตัวซิ่น และตีนซิ่น เป็นผืนซิ่น ด้วยวิธีการต่อซิ่นแบบโบราณด้วยการเย็บมือ ซึ่งการต่อแต่ละส่วนจะใช้วิธีเย็บที่แตกต่างกันไป
ข้อมูลแหล่งที่มา