หนังใหญ่ รูปทศกัณฐ์คเนจร แปลงเป็นสุธรรมฤาษี ใช้แสดงตอนทศกัณฐ์ลักนางสีดา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของศึกระหว่างพระรามและทศกัญฐ์ เริ่มจากนางสำมนักขาน้องสาวของทศกัณฐ์ไปเที่ยวป่าแล้วไปพบพระรามจึงหลงรัก แต่พระรามไม่รักตอบ เมื่อตามพระรามไปที่อาศรมจึงพบนางสีดา จึงเข้าทำร้ายนางสีดา พระรามโกรธมากจึง ตัดมือตัดเท้าตัดจมูกและหูของนางสำมนักขา นางสำมนักขาจึงไปฟ้องพระยาขร พระยาทูษณ์ และพระยาตรีเศียร ทำให้เกิดการสู้รบกัน ทั้งพระยาขร พระยาทูษณ์ และพระยาตรีเศียร ตายด้วยศรพรหมาสตร์ของพระราม นางสำนักขาจึงไปฟ้องทศกัณฐ์ว่าพระรามฆ่าพี่น้องของเราตายหมดแล้ว ทำให้ทศกัณฐ์โกรธมากจะต้องไปฆ่าพระรามเสีย นางสำมนักขากลัวพระรามจะตายแล้วไม่ได้เป็นสวามี จึงวางแผนบอกเล่าถึงความงดงามของนางสีดา เพื่อให้ทศกัณฐ์นำนางสีดามาเป็นมเหสีเแล้วตนจะได้พระรามมาเป็นสวามี ทศกัณฐ์ฟังแล้วก็หลงรักนางสีดาในทันที จึงวางแผนให้มารีศแปลงกายเป็นกวางทอง เพื่อหลอกล่อให้พระรามและพระลักษณ์ออกจากอาศรม แล้วตนก็แปลงเป็นสุธรรมฤาษีเพื่อไปพูดหลอกล่อให้นางสีดาหลงเชื่อว่า นางสีดาไม่เหมาะกับพระรามควรจะไปเป็นมเหสีทศกัณฐ์มากกว่า แต่ไม่สำเร็จ นางสีดาบอกว่าพระรามฆ่าน้องชายของทศกัณฐ์ได้ทำไมจะสู้ทศกัณฐ์ไม่ได้ ทศกัณฐ์โกรธมากจึงกลับเป็นร่างเดิม แล้วลักนางสีดาอุ้มเหาะกลับไปยังกรุงลงกา
หนังใหญ่ จัดเป็นมหรสพหลวงที่มีมาตั้งแต่อดีต ใช้ในพระราชพิธีทั้งมงคลและอวมงคล อาจกล่าวได้ว่าเป็นการแสดงที่เก่าแก่ก่อนการละเล่นโขนเกิดขึ้นในราชสำนัก และเป็นการแสดงการเชิดตัวหนังหลังฉากผ้าผ่านแสงไฟ เกิดเป็นเงาจากตัวหนังแต่ละตัวที่ผ่านการแกะตอกและให้สีที่แตกต่างกัน ผู้เชิดส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย โดยจะต้องเชิดและเต้นไปอย่างสัมพันธ์กันทำท่าไปตามบทพากย์และจังหวะของเพลงบรรเลง ซึ่งบทพากย์จะคล้ายบทโขนแต่สำเนียงจะไม่ดุดันเหมือนโขน เครื่องดนตรีประกอบการแสดงหนังใหญ่นิยมใช้วงปี่พาทย์เครื่องห้าหรือเครื่องคู่
ตามบันทึกในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 หรือพระเจ้าอู่ทอง หนังใหญ่ นิยมใช้เรื่อง “รามเกียรติ์” เป็นหลักให้การเดินเรื่อง เพราะเป็นการแสดงถึงการสรรเสริญพระเจ้าตามธรรมเนียมของไทย ถือว่าพระมหากษัตริย์คือผู้อวตารมาจากพระนารายณ์ หนังใหญ่จึงเป็นกึ่งมหรสพกึ่งพิธีกรรม ต่อมาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระมหาราชครูเขียนเรื่อง “สมุทรโฆษคำฉันท์” สำหรับการเชิดหนังใหญ่ เพื่อเฉลิมฉลองพระชนมายุครบเบญจเพส พอสิ้นรัชกาลจึงไม่ได้ใช้เป็นเรื่องเชิดอีก ภายหลังเมื่อกรุงศรีอยุธยาเข้าสู่ภาวะสงคราม หนังใหญ่ฝีมือช่างหลวงจำนวนมากถูกสันนิษฐานว่าได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มีการฟื้นฟูหนังใหญ่กลับมาอีกครั้งผ่านการแสดง “หนังช่องระทา” หรือการแสดงหนังใหญ่ขนาดกลางระหว่างช่องระทา (หอสูงสำหรับประดับดอกไม้ไฟที่ใช้ในงานพระราชพิธีแต่โบราณ มีลักษณะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม หลังคาทรงยอดเกี้ยว มีฝาประกำ 4 ด้านและมีหน้าราหูทั้ง 4 ทิศ) เพื่อเฉลิมฉลองสมโภชพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรที่อัญเชิญมาจากกรุงเวียงจันทร์
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ถือได้ว่ารัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 เป็นยุคทองของวรรณกรรมและศิลปะทุกแขนง จนเกิดหนังใหญ่ที่มีความงดงามเรียกกันว่า “หนังใหญ่ชุดพระนครไหว” และเมื่อสยามในเวลานั้นมีการติดต่อค้าขายกับนานาประเทศมากขึ้น ความนิยมในละครเวทีจากตะวันตกเข้ามามีอิทธิพลในสังคม ทำให้การแสดงหนังใหญ่แบบดั้งเดิมลดความนิยมลง จึงนำ “หนังใหญ่ชุดพระนครไหว” เข้าเก็บรักษาในโรงละครศิลปากรในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ซึ่งต่อมาโรงละครแห่งนั้นเกิดเพลิงไหม้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2503 ทำให้หนังใหญ่สูญหายและชำรุดเสียหายจนไม่สามารถนำมาแสดงต่อได้เป็นจำนวนมาก ทางกรมศิลปากรจึงเข้าอนุรักษ์ซ่อมแซมเก็บรักษาไว้เป็นมรดกของชาติและจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จนถึงปัจจุบัน
ด้วยเหตุนี้ ครูวีระ มีเหมือน จึงมีความตั้งใจที่จะทำหนังใหญ่ขึ้นทดแทนจากภาพถ่ายที่ยังคงเหลืออยู่ เพื่ออนุรักษ์และสืบสานงานหนังใหญ่ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อไปได้ โดยมีเป้าหมายในชีวิตในการทำหนังใหญ่ในชีวิตให้ได้ถึง 600 ตัว ตามจำนวนหนังโรงใหญ่ 1 โรง และมีความหวังที่จะจัดทำพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ศึกษาค้นคว้างานศิลปกรรมที่ทรงคุณค่าของไทยนี้ต่อไป