หนังใหญ่รูปนนทกคเนจร ใช้แสดงในตอนนารายณ์ปราบนนทกในรามเกียรติ์ ซึ่งเป็นตอนที่กล่าวถึงต้นเหตุการอวตารของพระนารายณ์ไปเป็นพระรามเพื่อปราบทศกัณฐ์ นนทกเป็นยักษ์อาศัยบนเขาไกรลาส มีหน้าที่คอยล้างเท้าเหล่าเทวดาที่มาเข้าเฝ้าพระอิศวร ด้วยความมีรูปลักษณ์อัปลักษณ์ เหล่าเทวดาจึงชอบกลั่นแกล้งลูบหัวดึงผมนนทกอยู่เป็นประจำจนหัวล้าน เมื่อนนทกหมดความอดทนและอยากแก้แค้นเหล่าเทวดา จึงไปทูลขอพรพระอิศวร โดยบอกว่า ตนตั้งใจทำงานด้วยความพากเพียรมาเนิ่นนานแล้ว ไม่เคยขออะไรเลย จึงขอเพียงมีนิ้วเพชร ที่ชี้ไปที่ผู้ใดผู้นั่นจะถึงแก่ความตาย พระอิศวรจึงจำเป็นต้องให้พรนนทกตามที่รับปากไว้ จากวันนั้นเมื่อนนทกถูกเทวดาตนใดกลั่นแกล้ง ก็จะใช้นิ้วเพชรชี้ให้เทวตาตนนั้นตายไป นนทกทำเช่นนี้เป็นเรื่องสนุกอยู่ร่ำไป ความถึงพระอิศวรทรงโกรธมากที่นนทกนำพรไปใช้ในทางที่ผิด จึงรับสั่งให้พระนารายณ์ไปปราบ นนทก พระนารายณ์จึงแปลงกายเป็นนางสุวรรณอัปสร ใช้ความงามร่ายรำหลอกล่อนนทก ให้นนทกร่ายรำตาม และในท่ารำนั้นเป็นท่าที่จะต้องชี้นิ้วไปที่ตนเอง นนทกหลงเชื่อทำตาม นิ้วเพชรจึงชี้มาที่ตน เมือนนทกใกล้สิ้นใจ พระนารายณ์จึงกลายร่างกลับ เห็นดังนั้นนทกโกรธมากบอกว่าพระนารายณ์มีถึง 4 กร ใยจึงต้องแกล้งแปลงเป็นหญิงมาฆ่าตน คงเป็นเพราะกลัวนิ้วเพชรจึงไม่กล้าสู้กันซึ่งหน้า พระนารายณ์จึงบอกว่า ถ้าเช่นนั้นชาติหน้าขอให้นนทกมีถึง 10 มือ 10 หน้า เหาะเหินเดินอากาศได้ แล้วตนจะเป็นเพียงมนุษย์สองมือที่จะตามไปปลอดชีพนนทกอีกครั้งในชาติหน้า แล้วพระนารายณ์ก็ใช้แสงตรีตัดคอนนทกตาย ชาติต่อมานนทกจึงเกิดมาเป็นทศกัณฐ์และพระนารายณ์ก็อวตารเป็นพระรามมาปราบทศกัณฐ์นั่นเอง
หนังใหญ่ จัดเป็นมหรสพหลวงที่มีมาตั้งแต่อดีต ใช้ในพระราชพิธีทั้งมงคลและอวมงคล อาจกล่าวได้ว่าเป็นการแสดงที่เก่าแก่ก่อนการละเล่นโขนเกิดขึ้นในราชสำนัก และเป็นการแสดงการเชิดตัวหนังหลังฉากผ้าผ่านแสงไฟ เกิดเป็นเงาจากตัวหนังแต่ละตัวที่ผ่านการแกะตอกและให้สีที่แตกต่างกัน ผู้เชิดส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย โดยจะต้องเชิดและเต้นไปอย่างสัมพันธ์กันทำท่าไปตามบทพากย์และจังหวะของเพลงบรรเลง ซึ่งบทพากย์จะคล้ายบทโขนแต่สำเนียงจะไม่ดุดันเหมือนโขน เครื่องดนตรีประกอบการแสดงหนังใหญ่นิยมใช้วงปี่พาทย์เครื่องห้าหรือเครื่องคู่
ตามบันทึกในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 หรือพระเจ้าอู่ทอง หนังใหญ่ นิยมใช้เรื่อง “รามเกียรติ์” เป็นหลักให้การเดินเรื่อง เพราะเป็นการแสดงถึงการสรรเสริญพระเจ้าตามธรรมเนียมของไทย ถือว่าพระมหากษัตริย์คือผู้อวตารมาจากพระนารายณ์ หนังใหญ่จึงเป็นกึ่งมหรสพกึ่งพิธีกรรม ต่อมาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระมหาราชครูเขียนเรื่อง “สมุทรโฆษคำฉันท์” สำหรับการเชิดหนังใหญ่ เพื่อเฉลิมฉลองพระชนมายุครบเบญจเพส พอสิ้นรัชกาลจึงไม่ได้ใช้เป็นเรื่องเชิดอีก ภายหลังเมื่อกรุงศรีอยุธยาเข้าสู่ภาวะสงคราม หนังใหญ่ฝีมือช่างหลวงจำนวนมากถูกสันนิษฐานว่าได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มีการฟื้นฟูหนังใหญ่กลับมาอีกครั้งผ่านการแสดง “หนังช่องระทา” หรือการแสดงหนังใหญ่ขนาดกลางระหว่างช่องระทา (หอสูงสำหรับประดับดอกไม้ไฟที่ใช้ในงานพระราชพิธีแต่โบราณ มีลักษณะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม หลังคาทรงยอดเกี้ยว มีฝาประกำ 4 ด้านและมีหน้าราหูทั้ง 4 ทิศ) เพื่อเฉลิมฉลองสมโภชพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรที่อัญเชิญมาจากกรุงเวียงจันทร์
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ถือได้ว่ารัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 เป็นยุคทองของวรรณกรรมและศิลปะทุกแขนง จนเกิดหนังใหญ่ที่มีความงดงามเรียกกันว่า “หนังใหญ่ชุดพระนครไหว” และเมื่อสยามในเวลานั้นมีการติดต่อค้าขายกับนานาประเทศมากขึ้น ความนิยมในละครเวทีจากตะวันตกเข้ามามีอิทธิพลในสังคม ทำให้การแสดงหนังใหญ่แบบดั้งเดิมลดความนิยมลง จึงนำ “หนังใหญ่ชุดพระนครไหว” เข้าเก็บรักษาในโรงละครศิลปากรในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ซึ่งต่อมาโรงละครแห่งนั้นเกิดเพลิงไหม้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2503 ทำให้หนังใหญ่สูญหายและชำรุดเสียหายจนไม่สามารถนำมาแสดงต่อได้เป็นจำนวนมาก ทางกรมศิลปากรจึงเข้าอนุรักษ์ซ่อมแซมเก็บรักษาไว้เป็นมรดกของชาติและจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จนถึงปัจจุบัน
ด้วยเหตุนี้ ครูวีระ มีเหมือน จึงมีความตั้งใจที่จะทำหนังใหญ่ขึ้นทดแทนจากภาพถ่ายที่ยังคงเหลืออยู่ เพื่ออนุรักษ์และสืบสานงานหนังใหญ่ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อไปได้ โดยมีเป้าหมายในชีวิตในการทำหนังใหญ่ในชีวิตให้ได้ถึง 600 ตัว ตามจำนวนหนังโรงใหญ่ 1 โรง และมีความหวังที่จะจัดทำพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ศึกษาค้นคว้างานศิลปกรรมที่ทรงคุณค่าของไทยนี้ต่อไป