หนังใหญ่ รูปฤาษีเสี่ยงลูก ใช้แสดงตอนกำเนิดพาลี สุครีพ พญาวานรแห่งนครขีดขิน เริ่มที่ กษัตริย์ผู้ครองเมืองสาเกดได้ออกบวชเพราะตนเองไม่มีทั้งโอรสและธิดา เมื่อนั่งบำเพ็ญเพียรอยู่หลายปีจนหนวดเครายาวรุงรัง จนกระทั่งมีนกกระจาบคู่หนึ่งมาทำรังเพื่อกกไข่ วันหนึ่งนกกระจาบตัวผู้ออกไปหาอาหารให้ตัวเมียอยู่เฝ้ารัง บังเอิญว่านกกระจาบตัวผู้ไปติดอยู่ในดอกบัวตูมไม่สามารถกลับรังได้ นกตัวเมียเฝ้ารอจนอีกวันนกตัวผู้จึงบินกลับมา
นกตัวเมียโกรธมากคิดว่านกตัวผู้ไปมีชู้ นกตัวผู้จึงสาบานว่าหากตนไม่ทำผิดจริงขอให้บาปไปตกอยู่กับฤาษีโคดมผู้นี้ ฝ่ายฤาษีได้ยินจึงสงสัยแล้วถามว่า เหตุใดจึงให้บาปตกอยู่กับตน นกกระจาบตัวผู้จึงบอกว่า เพราะฤาษีมีบาปใหญ่ เป็นถึงกษัตริย์แต่ไม่มีลูกสืบทอดราชสมบัติ ฤาษีจึงคิดได้ว่าตนควรจะมีลูกเพื่อสืบทอดบัลลังก์ เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงโกนหนวดเคราทำพิธีเผาบูชาไฟ จนเกิดมีแผ่นดินไหวขึ้น มีสาวงามปรากฎขึ้นมาจากกองไฟ ฤาษีจึงตั้งชื่อว่า นางกาลอัจนา แล้วอยู่กินร่วมกันจนเกิดมีบุตรขึ้นมาเป็นผู้หญิงชื่อนางสวาหะ วันหนึ่งฤาษีไปออกไปหาผลไม้ในป่า ขณะที่นางกาลอัจนา กำลังเลี้ยงลูกอยู่ในอาศรม พระอินทร์เสด็จลงมาสมสู่กับนางกาลอัจนา ฤาษีกลับมามิได้เอะใจ จนเวลาผ่านไปนางกาลอัจนาก็ตั้งครรภ์และคลอดเป็นเด็กชายมีกายเป็นสีเขียว ฤาษีคิดว่าเป็นลูกของตนจึงรักใคร่กว่าลูกสาวของตน แล้ววันหนึ่งฤาษีไปออกไปหาผลไม้ในป่าเช่นเคย พระอาทิตย์ก็เสด็จลงมาที่อาศรมและสมสู่กับนางกาลอัจนา จนนางตั้งครรภ์อีกครั้งและคลอดออกมาเป็นเด็กชายมีกายเป็นสีแดง ฤาษีโคดมก็นึกแปลกใจเช่นเดิม คงรักและเอ็นดูคิดว่าบุตรชายทั้งสองเป็นลูกของตนมาโดยตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งฤาษีพาลูกทั้งสาม ไปเล่นน้ำ ขณะเดินไปมือขวาก็จึงอุ้มบุตรชายคนเล็ก และให้บุตรชายคนโตขี่หลัง ส่วนมือข้างซ้ายนั้นจูงนางสวาหะเดินไปยังท่าน้ำ นางสวาหะรู้สึกเคืองและน้อยใจบิดาจึงพร่ำบ่นตลอดทางว่า ทำไมลูกตนเองจึงไม่อุ้ม ทำไมจึงอุ้มลูกคนอื่น ฤาษีได้ยินจึงสงสัยว่าเด็กชายทั้งสองเป็นบุตรของตนเองหรือไม่ จึงตั้งจิตอธิษฐานเสี่ยงทายด้วยการทิ้งบุตรทั้งสามไปกลางแม่น้ำแล้วขอว่า ถ้าใครเป็นลูกของตนให้จงว่ายกลับมา แต่ถ้าไม่ใช่ขอให้กลายเป็นลิงแล้วเข้าป่าไป เมื่อโยนบุตรทั้งสามไปแล้วมีเพียงนางสวาหะเท่านั้นที่ว่ายน้ำกลับมา ส่วนบุตรชายสองคนก็กลายร่างเป็นลิงสองตัววิ่งเข้าป่าไป พระอินทร์และพระอาทิตย์เห็นบุตรชายทั้งสองของตนจึงสงสารจึงลงไปเนรมิตเมืองใหม่ชื่อว่าเมืองขีดขิน แล้วตั้งชืิ่อให้ลูกพระอินทร์กายสีเขียว ว่า “กากาศพิริยจุลจักร”หรือ “พาลี” ให้เป็นเจ้าครองนคร ส่วนลูกพระอาทิตย์ตั้งชื่อว่า “พญาสุครีพ” เป็นมหาอุปราช ช่วยกันดูแลนครขีดขินเพื่อรอคอยช่วยเหลือพระนารายณ์ที่อวตารเป็นพระรามต่อไป
หนังใหญ่ จัดเป็นมหรสพหลวงที่มีมาตั้งแต่อดีต ใช้ในพระราชพิธีทั้งมงคลและอวมงคล อาจกล่าวได้ว่าเป็นการแสดงที่เก่าแก่ก่อนการละเล่นโขนเกิดขึ้นในราชสำนัก และเป็นการแสดงการเชิดตัวหนังหลังฉากผ้าผ่านแสงไฟ เกิดเป็นเงาจากตัวหนังแต่ละตัวที่ผ่านการแกะตอกและให้สีที่แตกต่างกัน ผู้เชิดส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย โดยจะต้องเชิดและเต้นไปอย่างสัมพันธ์กันทำท่าไปตามบทพากย์และจังหวะของเพลงบรรเลง ซึ่งบทพากย์จะคล้ายบทโขนแต่สำเนียงจะไม่ดุดันเหมือนโขน เครื่องดนตรีประกอบการแสดงหนังใหญ่นิยมใช้วงปี่พาทย์เครื่องห้าหรือเครื่องคู่
ตามบันทึกในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 หรือพระเจ้าอู่ทอง หนังใหญ่ นิยมใช้เรื่อง “รามเกียรติ์” เป็นหลักให้การเดินเรื่อง เพราะเป็นการแสดงถึงการสรรเสริญพระเจ้าตามธรรมเนียมของไทย ถือว่าพระมหากษัตริย์คือผู้อวตารมาจากพระนารายณ์ หนังใหญ่จึงเป็นกึ่งมหรสพกึ่งพิธีกรรม ต่อมาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระมหาราชครูเขียนเรื่อง “สมุทรโฆษคำฉันท์” สำหรับการเชิดหนังใหญ่ เพื่อเฉลิมฉลองพระชนมายุครบเบญจเพส พอสิ้นรัชกาลจึงไม่ได้ใช้เป็นเรื่องเชิดอีก ภายหลังเมื่อกรุงศรีอยุธยาเข้าสู่ภาวะสงคราม หนังใหญ่ฝีมือช่างหลวงจำนวนมากถูกสันนิษฐานว่าได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มีการฟื้นฟูหนังใหญ่กลับมาอีกครั้งผ่านการแสดง “หนังช่องระทา” หรือการแสดงหนังใหญ่ขนาดกลางระหว่างช่องระทา (หอสูงสำหรับประดับดอกไม้ไฟที่ใช้ในงานพระราชพิธีแต่โบราณ มีลักษณะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม หลังคาทรงยอดเกี้ยว มีฝาประกำ 4 ด้านและมีหน้าราหูทั้ง 4 ทิศ) เพื่อเฉลิมฉลองสมโภชพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรที่อัญเชิญมาจากกรุงเวียงจันทร์
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ถือได้ว่ารัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 เป็นยุคทองของวรรณกรรมและศิลปะทุกแขนง จนเกิดหนังใหญ่ที่มีความงดงามเรียกกันว่า “หนังใหญ่ชุดพระนครไหว” และเมื่อสยามในเวลานั้นมีการติดต่อค้าขายกับนานาประเทศมากขึ้น ความนิยมในละครเวทีจากตะวันตกเข้ามามีอิทธิพลในสังคม ทำให้การแสดงหนังใหญ่แบบดั้งเดิมลดความนิยมลง จึงนำ “หนังใหญ่ชุดพระนครไหว” เข้าเก็บรักษาในโรงละครศิลปากรในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ซึ่งต่อมาโรงละครแห่งนั้นเกิดเพลิงไหม้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2503 ทำให้หนังใหญ่สูญหายและชำรุดเสียหายจนไม่สามารถนำมาแสดงต่อได้เป็นจำนวนมาก ทางกรมศิลปากรจึงเข้าอนุรักษ์ซ่อมแซมเก็บรักษาไว้เป็นมรดกของชาติและจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จนถึงปัจจุบัน
ด้วยเหตุนี้ ครูวีระ มีเหมือน จึงมีความตั้งใจที่จะทำหนังใหญ่ขึ้นทดแทนจากภาพถ่ายที่ยังคงเหลืออยู่ เพื่ออนุรักษ์และสืบสานงานหนังใหญ่ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อไปได้ โดยมีเป้าหมายในชีวิตในการทำหนังใหญ่ในชีวิตให้ได้ถึง 600 ตัว ตามจำนวนหนังโรงใหญ่ 1 โรง และมีความหวังที่จะจัดทำพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ศึกษาค้นคว้างานศิลปกรรมที่ทรงคุณค่าของไทยนี้ต่อไป