กระจังประดับกระจกเกรียบ

กลุ่มงานศิลปหัตถกรรม ประเภทงานหัตถศิลป์ไทย

กระจังประดับกระจกเกรียบ ชิ้นนี้เป็นการจำลองแบบกระจังพระที่นั่ง เป็นลักษณะของงานศิลปะไทยที่เรียกว่างานปิดทองร่องกระจก ได้จากช่างจําหลักไม้ในจังหวัดนนทบุรี แล้วนํามาประดับด้วยกระจกเกรียบสีต้นแบบยุคต้นรัตนโกสินทร์ ได้แก่ สีเขียว  เหลือง ขาว แดง และสีขาบหรือสีน้ำเงิน ด้วยการตัดกระจกเกรียบเป็นรูปทรงหยดน้ำ ติดประสานด้วยเทือกรัก ลงไปในแนวของร่องไม้ของกระจังที่ลงรักปิดทองแล้วทีละชิ้น

การสร้างสรรค์กระจังประดับกระจกเกรียบชิ้นนี้นายรัชพล ได้รับแรงบันดาลใจจาก กระจัง หรือ ใบปรือ แผ่นไม้แกะสลักปิดทองร่องกระจกชิ้นด้านข้างของพระที่นั่งพุดตานวังหน้า ที่สันนิษฐานว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติยศพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5  ใช้เป็นเครื่องประกอบพระอิสริยยศพระมหาอุปราช และเมื่อพระองค์ ทรงประกาศยกเลิกตำแหน่งพระมหาอุปราชแล้ว โปรดเกล้าฯพระราชทานให้เป็นเครื่องประกอบพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร ปัจจุบันพระที่นั่งพุดตานวังหน้าจัดแสดงอยู่ในห้องเฉลิมพระเกียรติกรมพระราชวังบวรสถานมงคล พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ

นายรัชพล ต้องการถ่ายทอดความปราณีตงดงามในงานจำหลักไม้ลงรักปิดทองที่มีการประดับกระจกเกรียบ ให้เป็นต้นแบบในการศึกษางานศิลปกรรมไทยแบบโบราณอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งรูปแบบศิลปะไทยประเพณีการปิดทองประดับกระจกเกรียบถือเป็นงานศิลป์ที่บ่งบอกพระราชอิสริยยศชั้นสูง และผลงานชิ้นนี้ยังได้มีโอกาสนำขึ้นถวายรายงานและแสดงเบื้องหน้าสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร ในงานวันนักประดิษฐ์ประจำปี พ.ศ. 2566 อีกด้วย

ประเภทงานหัตถกรรม :
เครื่องอื่นๆ
กลุ่มวัฒนธรรม :
รัตนโกสินทร์ตอนต้น
ขนาด :
ไม่รวมฐานตั้ง สูง 35 เซนติเมตร กว้าง 30 เซนติเมตร หนา 20 เซนติเมตร
วัสดุ :
กระจังไม้แกะสลักลงรักปิดทอง,ตะกั่วก้อนบริสุทธิ์,เกาลินหรือดินขาว,วัตถุธาตุให้สี,แผ่นหินหน้าเรียบ เช่น หินแกรนิต หินหยก หินโมรา (Agate) หรือ หินนาคกระสวย,เทือกรัก (วัสดุสำหรับยึดติดกระจกเกรียบ) ”
อายุ/ปีที่ผลิต :
2566
รายละเอียดชิ้นงาน

เทคนิคที่ใช้ : การหุงตะกั่วให้เป็นแก้วเจือด้วยวัตถุธาตุให้สี และการปิดทองร่องกระจก
กระบวนการสร้างสรรค์ชิ้นงาน (โดยละเอียด) :

  1. การออกแบบตกแต่งกระจก : กำหนดรูปแบบการวางกระจกของชิ้นงานแต่ละแบบที่มีความแตกต่างกัน โดยแล้วพิจารณาตำแหน่งที่ต้องการตกแต่กระจกเกรียบเพื่องานให้มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ และต้องไม่ทำลายธรรมเนียมปฏิบัติของงานศิลปกรรมที่ทรงคุณค่าของชิ้นงานนั้น ๆ เช่น การออกแบบฐานพระพุทธรูปต้องเลือกลวดลายที่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ลวดลายที่สวยงาม เป็นมงคล สอดคล้องกับยุคสมัยของศิลปะ สำหรับชิ้นงานนี้ต้องการประดับกระจกเกรียบที่กระจังที่ได้จากช่างในจังหวัดนนทบุรี
  2. การเตรียมสารตั้งต้น : การทำกระจกเกรียบโบราณ คือ ศาสตร์ของการเล่นแร่แปรธาตุประเภทหนึ่งที่แปรสภาพของแร่ธาตุจากรูปแบบหนึ่งไปสู่อีกรูปแบบหนึ่ง จึงเกิดเป็นการผสมผสานแร่ประเภทต่าง ๆ เกิดเป็นกระจกเกรียบที่มีความแวววาวหลากสี ซึ่งมีองค์ประกอบ 2 ส่วน คือ ส่วนชั้นแก้ว และส่วนชั้นตะกั่ว
    · ส่วนของชั้นแก้ว คือ ส่วนด้านบนของกระจก ประกอบด้วย ตะกั่วบริสุทธิ์, เกาลินหรือดินขาว และวัตถุธาตุให้สี ซึ่งมาจากสีขอหินแร่ในธรรมชาติที่แตกต่างกัน มาผสมตามอัตราส่วนสารประกอบ มาบดให้ละเอียดด้วยครกเหล็กให้เป็นเนื้อเดียวกัน เรียกว่า “ยาสี” เมื่อนำมาหุงแล้วจะให้ผิวเลื่อมวาวแสงคล้ายกระจกมีสีสันไปตามวัตถุธาตุสี จากนั้นนำยาสีร่อนด้วยตะแกรงเพื่อแยกเอาเศษผง เศษไม้ หรือเศษพืช ที่ไม่ต้องการออก เพื่อป้องกันการเกิดปฏิกิริยาเคมีที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งวัตถุธาตุที่ให้สีตามธรรมชาติ ได้แก่
    - สีเขียวปีกแมลงทับ : มาจากแร่หินสีเขียว หรือแร่มาลาไคต์ (Malachite) ที่มีส่วนประกอบของคอปเปอร์ออกไซด์หรือทองแดง
    - สีเหลืองอำพัน : มาจากแร่ข้าวตอกพระร่วง หรือแร่ไพไรต์ (Pyrite) ที่มีส่วนประกอบของเหล็กออกไซด์
    - สีน้ำเงิน หรือสีกรมท่า หรือสีขาบ : มาจากแร่ธาตุที่ีมีส่วนผสมของโคบอลต์ ชนิดเดียวกับที่ใช้เขียนลายคราม
    - สีแดงทับทิม : มาจากแร่ทองคำบริสุทธิ์
    - สีม่วง : มาจากแร่ธาตุที่มีส่วนผสมของแมงกานิส
    · ส่วนของชั้นตะกั่ว คือ ส่วนด้านล่างของกระจก ทำมาจากตะกั่วบริสุทธิ์ หรือในภาษาล้านนาเรียกว่า “จืน”
  3. การหุงกระจกเกรียบ : ในขั้นตอนนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนของชั้นแก้ว และส่วนของชั้นตะกั่ว
    ส่วนของชั้นแก้ว : นำผงยาสีที่บดละเอียดแล้วเข้าเบ้าหลอมในเตาหลอมด้วยความร้อน 800 – 1,000 องศาเซลเซียส จนได้เนื้อเป็นน้ำแก้วเหลวคล้ายน้ำผึ้ง จากนั้นนำน้ำแก้วเหลวเทลาดแผ่ลงบนแผ่นหินหน้าเรียบ เช่น หินแกรนิต หินหยก หินโมรา (Agate) หรือ หินนาคกระสวย ซึ่งหินเหล่านี้ไม่ดูดความร้อน ทำให้น้ำแก้วแห้งเองได้ตามธรรมชาติ โดยเทแผ่น้ำแก้วให้หนาเท่ากันทั้งผืน ในระดับความหนาเท่าที่ต้องการ
    ส่วนของชั้นตะกั่ว : ในระหว่างการเทน้ำแก้วเหลว ให้นำตะกั่วบริสุทธิ์เข้าเบ้าหลอมในเตาหลอมด้วยความร้อน 400 องศาเซลเซียส ตะกั่วจะกลายเป็นน้ำตะกั่วเหลว จากนั้นนำน้ำตะกั่วเหลว เทลงบนแก้วเหลวที่เทลงไปก่อนหน้า เมื่อเทติดกันแล้วจะได้แผ่นแก้วสีเลื่อมวาวมีตะกั่วฉาบผิวด้านหลัง เรียกว่า “กระจกเกรียบ”
  4. การตกแต่งกระจกเกรียบบนชิ้นงาน : นำกระจกเกรียบที่ได้มาตัดเป็นชิ้นตามรูป ขนาด และสี ที่กำหนดไว้ในแต่ละตำแหน่งของชิ้นงาน โดยใช้ “เทือกรัก”  ซึ่งเป็นส่วนผสมของสมุกหรือถ่านกะลาผสมกับยางรักสีดำ จนได้วัตถุที่มีความเหนียวสีข้นดำ ใช้ประสานยึดติดกระจกเกรียบกับชิ้นงาน วิธีการติดกระจกที่เหมาะสม จะต้องกดชิ้นกระจกให้จมจนเทือกรักปลิ้นด้านข้างออกมา แล้วถึงติดชิ้นถัดไปในระยะห่างประมาณ 1 มิลลิเมตร เทือกรักที่ปลิ้นขึ้นมานี้ เรียกว่า “สาแหรก” มีคุณสมบัติช่วยยึดชิ้นส่วนกระจกและป้องกันน้ำฝนซึมเข้าไปในชิ้นงานนั้น ๆ ส่วนมากวิธีนี้จะใช้กับงานตกแต่งภายนอกที่อยู่ในแดดกลางแจ้ง แต่สำหรับชิ้นงานที่อยู่ในที่ร่มอาจไม่จำเป็นต้องทำสาแหรก โดยสามารถประดับกระจกให้ชิดติดกันได้
ข้อมูลแหล่งที่มา