พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาณาจักรเขมรโบราณ พระองค์เป็นพระราชโอรสของ พระเจ้าธรณินทรวรมันที่ 2 และพระนางศรีชัยราชจุฑามณี พระนามเดิมคือเจ้าชายวรมัน ประสูติราวพ.ศ.1668 (บางตำราว่าเป็น พ.ศ.1670) ในรัชกาลของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 พระองค์ได้เสกสมรสกับเจ้าหญิงชัยราชเทวี ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลสำคัญในการทำให้พระองค์หันมานับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน และเป็นกษัตริย์องค์แรกที่นับถือพระพุทธศาสนา ทรงเป็นกษัริย์ที่ปรีชาสามารถในด้านการรบ สามารถกอบกู้บัลลังก์เขมรได้คืนจากการรุกรานของกองทัพจาม และปราบดาภิเษกพระองค์เองขึ้นเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 พร้อมกับบูรณปฏิสังขรณ์ราชธานีขึ้นมาใหม่ รู้จักกันในชื่อ “นครธม” หรือ “นครใหญ่” และย้ายศูนย์กลางของราชธานีจากปราสาทปาปวนในลัทธิไศวนิกาย มายังปราสาทบายนที่สร้างขึ้นใหม่ ให้เป็นศาสนสถานในลัทธิมหายานแทน พระองค์ทรงสถาปนาคติ “พระพุทธเจ้าที่ยังมีชีวิต” หรือ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรขึ้นมา ซึ่งหมายถึงตัวพระองค์เองที่เกิดมาเพื่อปัดเป่าทุกข์ภัยให้แก่ราษฎร ภาพสลักรูปใบหน้าที่ปรากฏตามปรางค์ในหลายปราสาทที่ทรงสร้างขึ้น เชื่อว่าคือใบหน้าของพระองค์ในภาคพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรนั่นเอง การครอบราชย์ของพระองค์ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 นับเป็นช่วงของความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดของอาณาจักรเขมร ความยิ่งใหญ่ของพระองค์แผ่อิธิพลไปยังดินแดนโดยรอบ ดังจะเห็นได้จากหลักฐานการจารึกและงานทางศิลปกรรมในดินแดนที่เป็นประเทศไทย ลาวและเวียดนามในปัจจุบัน โดยเฉพาะ ประติมากรรมรูปเหมือนจริงของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่พบหลักฐานอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งประติมากรรมรูปเหมือนของพระองค์เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจในการสร้างผลงานแกะสลักหินของนายกุฬฑล โสวาปี ผู้สร้างสรรค์ชิ้นนี้
การสร้างสรรค์ผลงานการแกะสลักหินทรายของนายกุณฑฬ โสวาปี เป็นการสืบทอดทักษะฝีมือเชิงจากจากบิดาคือครูสุนทร โสวาปี ครูศิลป์ของแผ่นดินปี 2559 หนึ่งในตำนานช่างแกะสลักหินของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผู้หลงใหลในงานแกะสลักหินทรายจนสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่แสดงเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีลักษณะใกล้เคียงกับรูปแบบการแกะสลักหินทรายที่ได้รับอิทธิพลมาจากอาณาจักเขมรโบราณ
ประสบการณ์ทักษะเฉพาะตัวที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น เกิดเป็นทักษะความเชี่ยวชาญในการกำหนดขนาดและสัดส่วนของหินทรายแต่ละชิ้นให้ได้รับการแกะสลักออกมาใกล้เคียงกับรูปแบบชิ้นงานโบราณ ทั้งนี้หินที่นำมาใช้แกะสลักต้องเป็นหินเนื้อละเอียด เนื้อแน่น ไม่เป็นชั้นๆ เมื่อสกัดจะได้ไม่กรอบหรือแตกหักง่าย ภายในเนื้อหินต้องไม่มีหินฝากซึ่งเป็นหินเนื้อไม่ดี (เนื้อหินแข็งเหมือนหินแกรนิตหรืออาจมีเนื้อดินปนอยู่ในหิน) ทำให้อาจเกิดความเสียหายต่อชิ้นงานได้ นอกจากนั้นในการตัดหิน นายกุณฑฬลได้ยึดหลักการเดียวกับครูสุนทรคือ การตัดหินต้องกำหนดขนาดและกำหนดสัดส่วนให้ถูกต้อง การตัดส่วนเกินของหินที่ไม่ใช้ออกต้องตัดเป็นเส้นตรง ไม่เช่นนั้นจะทำให้เสียเนื้อหิน และทำให้สัดส่วนชิ้นงานผิดได้
ในการสร้างสรรค์งานแต่ละชิ้น นายกุณฑฬ ไม่เพียงใช้ทักษะที่เรียนรู้มาจากบิดาเท่านั้น แต่ยังศึกษารูปแบบการแกะสลักหินตามแบบขอมโบราณทั้งงานรูปเคารพ องค์ประกอบสถาปัตยกรรม และงานโครงสร้างต่างๆ เพื่อให้ผลงานที่สร้างสรรค์ใหม่คล้ายถึงกับลักษณะชิ้นงานตามแบบโบราณมากที่สุด นอกจากนั้นนายกุณฑฬยังคงใช้เครื่องมือการแกะสลักหินแบบโบราณ และมีการเลือกใช้เครื่องมือที่หลากหลายตามลักษณะและขนาดของชิ้นงาน เพื่อสร้างสรรค์เป็นศิลปะการแกะสลักหินทรายที่งดงาม