ปี่ในประดับมุก

กลุ่มงานศิลปหัตถกรรม ประเภทงานหัตถศิลป์ไทย

ปี่ในหนึ่งในเครื่องดนตรีประเภทเป่าในวงพี่พาทย์ ประดับมุกอักษรย่อชื่อของ รองศาสตราจารย์ ดร.ภาธร ศรีกรานนท์ รองศาสตราจารย์ประจำภาควิชาดนตรี คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้เป็นหนึ่งในสมาชิกของวงดนตรี วง อ.ส. วันศุกร์ วงดนตรีส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ รศ.ดร.ภาธร มีโอกาสรับใช้เบื้องพระยุคลบาทด้านดนตรีมากว่า 30 ปี ด้วยบทบาทและความสามารถในการดนตรีที่มีความเชี่ยวชาญทั้งเครื่องดนตรีไทยและเครื่องดนตรีตะวันตก ครูจักรกริศษ์ สุขสวัสดิ์ จึงออกแบบลวดลายที่มีความร่วมสมัยผสมผสานลายไทยที่เชื่อมโยงกับลายองุ่นที่พบได้ในงานจิตรกรรม งานประติมากรรม และงานสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก ส่วนบนของปี่โดดเด่นด้วยชื่ออักษรย่อล้อมด้วยช่อมะกอกสื่อถึงความรุ่งเรือง รุ่งโรจน์ บริเวณลำปี่สร้างจังหวะลายและความสวยงามสอดคล้องกับรูตลอดเลาปี่ด้วยลายประจำยาม ลายดอกรัก และลายตาไก่ ส่วนล่างของปี่โดดเด่นด้วยลายบัวบางเลนซึ่งเป็นลายเอกลักษณ์ของครูจักรกริศษ์ สุขสวัสดิ์

ประเภทงานหัตถกรรม :
เครื่องรัก
ผู้สร้างสรรค์ :
ขนาด :
เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 นิ้ว ยาว 15.5 นิ้ว
วัสดุ :
ปี่ในทำจากไม้ชิงชัน เปลือกหอยมุกไฟ และยางรักธรรมชาติ
อายุ/ปีที่ผลิต :
2564
รายละเอียดชิ้นงาน

เทคนิคที่ใช้:    การเจียรและตัดแต่งเปลือกหอย และการประดับมุก

กระบวนการสร้างสรรค์ชิ้นงาน  :
• การออกแบบลาย

  1. พิจารณรูปทรงของปี่ที่มีการกลึงไม้ชิงชันจนได้รูปและสร้างสรรค์รูปแบบตามลักษณะเฉพาะของปี่ใน แล้วจึงร่างแบบลงบนกระดาษ โดยเอกลักษณ์ของการออกแบบลายในงานลงรักประดับมุกคือการออกแบบลายที่มีลักษณะเป็น “ลายตัวขาด” การเขียนลายให้แยกขาดกันเป็นตัวๆ เป็นเส้นคู่ เพื่อให้ช่างสามารถฉลุลายบนเปลือกหอยที่มีลักษณะโค้งและมีพื้นที่ใช้งานจำกัด
  2. เมื่อได้ลวดลายที่สมบูรณ์แล้วจึงวาดแบบลงบนกระดาษไขเพื่อให้ได้เส้นลายที่คมชัด แล้วนำไปคัดลอกจำนวน 3 ชุด สำหรับการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนี้

- สำเนาลายชุดที่ 1 สำหรับใช้ติดบนเปลือกหอยเพื่อฉลุในลักษณะลายตัวขาด
- สำเนาลายชุดที่ 2 สำหรับใช้ติดเปลือกหอยที่ฉลุลายแล้วตามแบบ ก่อนนำไปประดับลายบนพื้นผิวชิ้นงาน
- สำเนาลายชุดที่ 3 สำหรับเก็บไว้เป็นต้นแบบลายประกอบการซ่อมแซมลวดลายประดับมุกของชิ้นงานที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

• การเตรียมเปลือกหอยสำหรับงานประดับมุก ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ ดังนี้

  1. นำหอยโข่งทะเล (เดิมเรียกว่าหอยอูด) หรือหอยมุกไฟ ซึงหาได้ในทะเลและมหาสมุทรในแถบจังหวัดภูเก็ต ประเทศพม่า อินโดนีเซีย และแถบมหาสมุทรอินเดีย  ซึ่งครูจักรกริศษ์ซื้อมาจากผู้แทนจำหน่ายในจังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดระนอง ราคากิโลกรัมละ 1,500 – 1,700 บาท (ข้อมูล ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2565)

  2. นำหอยโช่งทะเลมาขัดลอกหินปูนที่หุ้มเปลือกหอยออก โดยใช้หินเจียรขนาด ¼ หรือ ½ โดยขัดแต่งเปลือกหอยจนถึงชั้นเปลือกหอยสีขาว ซึ่งเป็นส่วนที่นำไปใช้ในการประดับมุก สำหรับการขัดในขั้นตอนนี้จะได้เปลือกหอยมุกที่มีความหนาประมาณ 0.1 – 0.2 มิลลิเมตร หรือมีขนาดความหนาเท่ากับเหรียญ 1 บาทไทย

  3. ตัดเปลือกหอยเฉพาะส่วนที่สามารถนำไปใช้งานได้ คือส่วนเปลือกโค้งรอบเปลือกหอย โดยมอเตอร์ตัดไปตามส่วนโค้ง คงเหลือส่วนแกนหอยที่ช่างทำหัวโขนจะนำไปทำเป็นเขี้ยวยักษ์หรือเขี้ยวลิงต่อไป ทั้งนี้หอยโข่งทะเล 1 ตัวน้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรรม มีพื้นที่ส่วนเปลือกหอยที่สามารถนำมาทำเป็นลวดลายประดับมุกได้ประมาณ 15 – 20 ตารางเซนติเมตร เท่านั้น เนื่องจากเนื้อเปลือกหอยส่วนที่เหลือมีรูปทรงที่ไม่เหมาะสม และไม่มีแสง ไม่มีสี ปราศจากคุณสมบัติสะท้อนไฟซึ่งเป็นความงดงามอันเป็นเอกลักษณ์ของงานลงรักประดับมุก

  4. นำลายที่ออกแบบเรียบร้อยแล้วมาติดบนเปลือกหอยตามสัดส่วนต่างๆ ที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถใช้พื้นที่เปลือกหอยในส่วนที่ให้สีสันสวยงามได้มากที่สุด

  5. ใช้โครงเลื่อยฉลุเลื่อยลายให้แยกออกจากแผ่นเปลือกหอยเป็นตัวๆ แล้วนำชิ้นลายแต่ละตัวมาขัดแต่งขอบลายเพื่อลบคมเลื่อยและทำให้ลายคมชัดด้วยตะไปและกระดาษทราย จากนั้นนำลายไปติดบนกระดาษสำเนาลายที่เตรียมไว้ด้วยกาวน้ำ ประกอบจนเป็นลายที่สมบูรณ์

  6. นำแผ่นเปลือกหอยขนาดต่างๆ มาเจียรเป็นลายมาตรฐานต่างๆ ประกอบด้วย ลายเกล็ดเต่า ลายกรวยเชิง ลายประจำยาม ลายตาไก่ และลายประดิษฐ์ ซึ่งขั้นตอนนี้จำเป็นต้องใช้ความชำนาญของช่างเป็นอย่างมาก เนื่องจากลายมาตรฐานต่างๆ เป็นการกำหนดสัดส่วนและจังหวะลายระหว่างการเจียรกับมอเตอร์โดยใช้ใบตัดขนาด 0.30 มิลลิเมตร เพื่อใช้ประกอบลายต่างๆ บนพื้นผิวชิ้นงาน


**• การประดับลายลงบนผิวชิ้นงาน** 1) เตรียมพื้นผิวชิ้นงานด้วยการทารักน้ำเกลี้ยง (น้ำยางรักบริสุทธิ์ที่ได้จากการกรองสิ่งสกปรกและขับน้ำจากยางรักดิบเรียบร้อยแล้ว ใช้สำหรับการถมพื้นทาผิว และการผสมรักสมุก)
  1. หากต้องการให้ลายติดแน่นบนชิ้นงานให้ตัดผ้าขาวบางที่มีลักษณะคล้ายตาข่ายละเอียดติดบนผิวงาน และทารักน้ำเกลี้ยงอีกครั้งก่อนนำแผ่นลายที่ประกอบลายบนกระดาษไขเรียบร้อยแล้วลงบนชิ้นงาน

  2. ทายางรักน้ำเกลี้ยงเคลือบทับหน้าลายอีกชั้นหนึ่งเพื่อประสานลายประดับมุกให้ติดแน่นสนิทกับผิวชิ้นงานก่อนนำไปถมลาย

• การถมลาย ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
1) การถมลาย ครั้งที่ 1 ผสมรักสมุก (ยางรักดิบที่ผ่านการกรองเรียบร้อยแล้วผสมผงถ่านจากการเผาใบตองแห้ง กะลามะพร้าว เศษใบไม้ใบหญ้าในท้องถิ่น แล้วนำมาตำให้ละเอียดจนเป็นผงสีดำสนิท และนำไปกรองด้วยผ้าขาวบางจนได้เนื้อผงถ่านที่มีเนื้อเนียนละเอียด ผสมให้เข้ากันจนได้เนื้อสมุกที่ข้นและเหนียว) แล้วจึงนำไปทาหรือปาดให้เต็มช่องว่างทั่วทั้งชิ้นงาน ระหว่างทาให้กดเกลี่ยให้รักสมุกติดและถมเนียนเรียบไปกับผิวของเปลือกหอย  และทิ้งไว้ให้รักแห้ง  เนื่องจากยางรักธรรมชาติใช้เวลาในการแห้งติดชิ้นงานแต่ละครั้งนานถึง 7 วัน ช่างจึงมีเวลาในการเก็บรายละเอียดชิ้นงานได้ อย่างไรก็ตามในการลงยางรัก มักทำในช่วงเดือนพฤศจิกายน - เดือนมีนาคม เนื่องจากเป็นช่วงที่อากาศแห้ง และไม่ร้อนจัด ทำให้ยางรักไม่เยิ้มและแห้งไวกว่าการทายางรักในช่วงฤดูกาลอื่น หลังจากยางรักแห้งสนิทแล้วจึงขัดเปิดหน้าชิ้นงานด้วยกระดาษทรายน้ำเบอร์ 60

2) การถมลาย ครั้งที่ 2 นำรักสมุกมาทาให้ทั่วทั้งชิ้นงานอีกครั้ง เพื่อถมพื้นผิวให้เรียบ เมื่อยางรักแห้งสนิทดีแล้วจึงขัดผิวชิ้นงานด้วยกระดาษทรายน้ำเบอร์ 150 กับกระดาษทรายน้ำเบอร์ 500

3) การถมลาย ครั้งที่ 3 หรือการปิดตามด คือการเก็บรายละเอียดชิ้นงานส่วนที่เป็นหลุม ฟองอากาศหรือรอยของพื้นรักที่เกลี่ยไว้เดิมให้เรียบเสมอกัน โดยใช้รักสมุก จากนั้นรอให้แห้ง เมื่อแห้งสนิทดีแล้วจึงขัดด้วยกระดาษทรายน้ำเบอร์ 1,000 ขัดจนเห็นเนื้อลวดลายของเปลือกหอยมุกที่สดใสแวววาวทั้งชิ้นงาน

4) การขัดมัน คือการเพิ่มลักษณะพื้นผิวที่มันวาวบนชิ้นงานลงรักประดับมุกด้วยการใช้ใบตองแห้งหรือกาบมะพร้าวแห้งขัดผิวชิ้นงานลงรักประดับมุก ปัจจุบันช่างสามารถประยุกต์ใช้น้ำมันพืชหรือไขปลาวาฬที่ใช้ในงานจิวเวลรีชุบกับผ้าที่มีผิวสัมผัสอ่อนนุ่มขัดบนตัวชิ้นงานเพื่อเพิ่มความมันวาว เกิดมิติแสงที่งดงามอันเป็นเอกลักษณ์ของงานลงรักษ์ประดับมุก

ข้อมูลแหล่งที่มา