แหวนหัวนะโมถมเงิน เป็นเครื่องประดับที่เกิดจากศรัทธาความเชื่อของ “หัวนะโม” ตำนานเครื่องรางของจังหวัดนครศรีธรรมราชที่ผู้ครองเมืองได้นำหัวนะโมโปรยบริเวณเมืองเมื่อครั้งเกิดภัยพิภัยและโรคระบาดในอดีตกาล จนเกิดอัศจรรย์คือ สิ่งอัปมงคลและโรคต่าง ๆ ได้มลายไปจนหมดสิ้น จึงเกิดความเชื่อในหัวนะโมในเรื่องคุ้มครองป้องกันภัยต่าง ๆ ปัจจุบันหัวนะโม ที่ผ่านการปลุกเสกในพิธีต่าง ๆ ได้นำมาประกอบขึ้นรูปเป็นเครื่องประดับ เช่น แหวนนะโมถมเงินวงนี้ ที่สร้างสรรค์เป็นแหวนฝังหัวนะโม ลงยาถมเงินบนลวดลายดอกไม้ใบเทศ ให้ความงดงามตามเอกลักษณ์เครื่องถมเมืองนครฯ
ขึ้นรูป สลักดุน ลงยาถม
กระบวนการสร้างสรรค์ชิ้นงาน (โดยละเอียด) :
ขั้นตอนการทำยาถม :
ยาถมจะมีส่วนประกอบของ ตะกั่ว ทองแดง เนื้อเงิน และกำมะถัน เป็นสูตรลับเฉพาะของช่างแต่ละสำนั กหรือช่างแต่ละบ้าน เคล็ดลับการทำยาถมที่สำคัญคือการหลอมส่วนประกอบทั้ง 4 ชนิดเข้าด้วยกันด้วยความร้อน 700 องศาเซลเซียส ตลอดระยะเวลา 3-7 ชั่วโมง (แล้วแต่ปริมาณที่ทำน้ำยาถม) ในระหว่างการหลอมนั้นต้องค่อยๆ คนยาถมเข้าด้วยกัน และทยอยใส่กำมะถันทีละนิด สังเกตสีของยาถมให้มีสีดำเสมอกัน ความดำจะขึ้นอยู่กับปริมาณกำมะถันที่ใช้ ยาถมที่ดีจะมีสีเหมือนปีกแมลงทับ มีความดำเงาเลื่อมสีม่วง จากนั้นปั้นเป็นก้อน ทิ้งให้เย็นเก็บไว้รอนำไปใช้ ซึ่งขั้นตอนการหลอมจะมีกลิ่นของกำมะถันแรงมาก จึงต้องหลอมในที่ที่ปลอดคน ห่างไกลชุมชน เช่น ทุ่งนา กำมะถันหรือที่โบราณเรียกว่า สุพรรณถัน จะมีลักษณะเป็นสีเหลือง ได้มาจากภูเขาไฟ สามารถหาได้ในไทย แต่ละชิ้นใช้เวลาทำ 1 เดือน
การประยุกต์ใช้เทคนิคงานเครื่องถมจุฑาธุชงานเครื่องประดับร่วมสมัย เป็นศิลปะในงานช่างทองที่ประยุกต์งานเครื่องถมนครศรีธรรมราชเข้ากับเทคนิคการสร้างลวดลายด้วยน้ำกรด ซึ่งคล้ายกับการตอกสลักลวดลายด้วยค้อนบนพื้นผิวเงิน แต่แตกต่างที่ลักษณะความนูนของลวดลาย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเครื่องถมจุฑาธุชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ คิดค้นโดย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์ อินทราชัย เกิดเป็นงานเครื่องประดับร่วมสมัย
ขั้นตอนการสร้างสรรค์ชิ้นงาน :
1. เตรียมเนื้อโลหะ : นำเม็ดเงิน 95% มาผสมกับทองแดง 5% หลอมให้เข้ากัน ในการหลอมต้องใช้น้ำประสานทองใส่ผสมลงไปในขณะหลอมด้วย และใช้ถ่านไฟคนหรือกวน ถ้าโลหะผสมกันดีแล้ว จะเป็นสีม่วง และผิวเรียบเกลี้ยงเป็นเงามัน แล้วเทลงราง ออกรูปเป็นแผ่นเงิน
2. ตีแผ่ขึ้นรูปด้วยมือ : โดยใช้ “พะเนิน” หรือ “ค้อนใหญ่” ขึ้นรูปเป็นรูปทรงหรือภาชนะต่าง ๆ ตามต้องการโดยต้องมีความหนาพอสมควร ช่างเครื่องถมต้องใช้ความชำนาญอย่างมากโดยควบคุมไฟด้วยตะเกียงน้ำมันแบบเหยียบ หรือที่เรียกว่า “ขาต๊ะ”
3. เขียนลาย : ด้วยดินสอแล้วนำมาลอกลายด้วยหมึกจีน โดยหลักต้องเขียนลายให้เกิดความสมดุล ลายที่นิยมเขียนส่วนใหญ่ ได้แก่ ลายกนกเปลว ลายใบเทศ ลายดอกพุดตาน
4. การสลักลวดลาย : ช่างจะทำความสะอาด และแต่งผิวรูปพรรณให้เรียบ แล้วใช้สิ่วแบบต่าง ๆ สลักลวดลายด้วยมือ ตอกเป็นรอยลึกลงไปตามลวดลายที่เขียนไว้ โดยไม่ให้ผิวโลหะหลุดออกเป็นชิ้น และสลักให้มีรอยนูนดุนออกไปอีกด้านหนึ่ง ส่วนที่สลักลวดลายนี้ เป็นพื้นที่ที่จะถูกเคลือบด้วยยาถมต่อไปจนเต็ม
5. ทำความสะอาดพื้นผิวชิ้นงาน : ด้วยการเผา และนำมาแช่กรดเจือจาง
6. ลงยาถม : ด้วยการใช้ความร้อนเป่าละลายยาถมให้น้ำยาถมแล่นไปตามช่องลายที่ทำไว้ ต้องใช้ความระมัดระวังระหว่างลงยาถมให้น้ำยาถมแล่นเสมอกัน ไม่เป็นก้อนซึ่งต้องอาศัยความชำนาญของช่างแต่ละคน โดยลงยาถมให้ทั่วทั้งชิ้นงาน โดยจะลงยาถม 2 รอบ โดยรอบแรกจะเป่าให้ร้อนให้ยาถมวิ่งทั่วร่องลายที่แกะสลักไว้ เพื่อไม่ให้เกิดรูพรุน เรียกว่า “ตามด”
7. ขัดชิ้นงาน : เมื่อยาถมเย็นลงแล้วนำมาขัดหยาบด้วยกระดาษทรายหยาบ จากนั้นขัดละเอียดด้วยกระดาษทรายที่มีความละเอียดเพิ่มขึ้น แล้วจึงขัดเงาด้วยเครื่องขัดลูกผ้า
8. ขัดเงาชิ้นงาน : ด้วยดินขาว และดินแดง โดยใช้ดินแดงก่อนแล้วจึงมาขัดเงาด้วยดินขาว
9. เพลาลายหรือแรเงาชิ้นงาน : เป็นขั้นตอนสำคัญมาก ในการที่จะขับลวดลายที่สลักลงไปให้โดดเด่นโดยการใช้สิ่วสกัดให้เกิดมิติเป็นประกายแวววาว เห็นลวดลายที่ชัดเจน สร้างความงามให้กับงานเครื่องถม ด้วยการทำให้มีแสงเงามากยิ่งขึ้น