ผ้าคลุมไหล่ลายกาบใหญ่ เป็นผ้าที่มีมิติความงดงามจากการใช้กระบวนการทอที่ใช้สองเทคนิคร่วมกันคือ คือการทอขิดและการมัดหมี่ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งผู้สร้างสรรค์ต้องมีทักษะฝีมือและสายตาที่ดีจึงจะสามารถจัดลายได้ตรงพอดี ถ้าจัดลายไม่ดีก็จะมองไม่เห็นลายทั้งลายหมี่และลายขิด เกิดเป็นความงดงามลักษณะคล้ายภาพ 3 มิติ
เทคนิคที่ใช้ : เทคนิคมัดหมี่ และเทคนิคขิด
กระบวนการสร้างสรรค์ชิ้นงาน (โดยละเอียด) :
1. การเตรียมเส้นฝ้ายแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
- การเตรียมฝ้ายเส้นพุ่ง คือ การเลือกลายแล้วทำการวัดความยาวของฟันหมีฟืม เช่น ถ้าใช้ขนาดของฟันหวี 42 นิ้ว ให้ใช้โฮงหมี่ขนาดน้อยกว่าฟันหวี 1เซนติเมตร เพื่อให้หัวหมี่มีขนาดสั้นกว่าความยาวของฟันหวี เพราะในขณะที่ทอผ้านั้น จะเกิดแรงตึงของเส้นพุ่ง ทำให้หน้ากว้างของฟันหวี 42 นิ้ว มีขนาดเท่ากับความยาวของหัวหมี่พอดี ส่งผลให้ผ้าเรียบเสมอกันทั้งผืน
- การเตรียมฝ้าย (ฝ้ายเส้นยืน) คือ การค้นหูกหรือค้นเครือ เป็นกรรมวิธีนำเอาเส้นไหมที่เตรียมไว้สำหรับเป็นไหมเครือไปค้น (กรอ) ให้ได้ความยามตามจำนวนผืนของผู้ทอผ้าไหมตามที่ต้องการ โดยไหมหนึ่งเครือจะทำเป็นผ้าไหมได้ประมาณ 20 -30ผืน ( ผ้าไหม 1 ผืนยาวประมาณ 180 - 200 เซนติเมตร)
2. การมัดหมี่ คือ การมัดเส้นไหมในส่วนของเส้นพุ่งให้เกิดลวดลายตามที่ออกแบบไว้
3. การย้อมสี คือ การคั้นเอาน้ำจากพืชที่ให้สีนั้น ๆ หรือใช้สีเคมีตามสีที่ต้องการ นำมาต้มให้เดือด จากนั้นนำเส้นไหมชุบน้ำให้เปียก บิดพอหมาด กระตุกให้เส้นไหมเรียงเส้นกัน แล้วจึงแช่น้ำย้อมสีที่เตรียมไว้ ทิ้งไว้สักพัก แล้วนำไปผึ่งให้แห้งสนิท
4. การแก้หมี่ คือ การแก้เชือกฟางที่มัดหมี่แต่ละลำออกให้หมดหลังจากการย้อมสี
5. การทอผ้า คือ การนำเส้นฝ้ายที่มัดหมี่แล้วมาทำการทอ โดยแบ่งเส้นฝ้ายออกเป็น 2 ชุด เส้นฝ้ายยืน จะถูกขึงไปตามความยาวผ้าเป็นส่วนที่อยู่ติดกับกี่ทอ หรือแกนม้วนด้านยืน ส่วนเส้นฝ้ายพุ่งจะถูกกรอเข้ากระสวย เพื่อให้กระสวยเป็นตัวนำเส้นด้ายพุ่งสอดขัดเส้นด้ายยืนเป็นมุมฉากทอสลับกันไปตลอดความยาวของผืนผ้า ทั้งนี้การสอดด้ายพุ่งแต่ละเส้นต้องสอดให้สุดถึงริมผ้าแต่ละด้าน แล้วจึงวกกลับมา จะทำให้เกิดริมผ้าเป็นเส้นตรงทั้งสองด้านส่วนลวดลายชองผ้านั้นขึ้นอยู่กับการวางลายผ้าตามแบบของผู้ทอที่ได้ทำการมัดหมี่ไว้ ถือเป็นอันเสร็จสมบูรณ์เทคนิคที่ใช้ : เทคนิคมัดหมี่ และเทคนิคขิด
กระบวนการสร้างสรรค์ชิ้นงาน (โดยละเอียด) :
1. การเตรียมเส้นฝ้ายแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
- การเตรียมฝ้ายเส้นพุ่ง คือ การเลือกลายแล้วทำการวัดความยาวของฟันหมีฟืม เช่น ถ้าใช้ขนาดของฟันหวี 42 นิ้ว ให้ใช้โฮงหมี่ขนาดน้อยกว่าฟันหวี 1เซนติเมตร เพื่อให้หัวหมี่มีขนาดสั้นกว่าความยาวของฟันหวี เพราะในขณะที่ทอผ้านั้น จะเกิดแรงตึงของเส้นพุ่ง ทำให้หน้ากว้างของฟันหวี 42 นิ้ว มีขนาดเท่ากับความยาวของหัวหมี่พอดี ส่งผลให้ผ้าเรียบเสมอกันทั้งผืน
- การเตรียมฝ้าย (ฝ้ายเส้นยืน) คือ การค้นหูกหรือค้นเครือ เป็นกรรมวิธีนำเอาเส้นไหมที่เตรียมไว้สำหรับเป็นไหมเครือไปค้น (กรอ) ให้ได้ความยามตามจำนวนผืนของผู้ทอผ้าไหมตามที่ต้องการ โดยไหมหนึ่งเครือจะทำเป็นผ้าไหมได้ประมาณ 20 -30ผืน ( ผ้าไหม 1 ผืนยาวประมาณ 180 - 200 เซนติเมตร)
2. การมัดหมี่ คือ การมัดเส้นไหมในส่วนของเส้นพุ่งให้เกิดลวดลายตามที่ออกแบบไว้
3. การย้อมสี คือ การคั้นเอาน้ำจากพืชที่ให้สีนั้น ๆ หรือใช้สีเคมีตามสีที่ต้องการ นำมาต้มให้เดือด จากนั้นนำเส้นไหมชุบน้ำให้เปียก บิดพอหมาด กระตุกให้เส้นไหมเรียงเส้นกัน แล้วจึงแช่น้ำย้อมสีที่เตรียมไว้ ทิ้งไว้สักพัก แล้วนำไปผึ่งให้แห้งสนิท
4. การแก้หมี่ คือ การแก้เชือกฟางที่มัดหมี่แต่ละลำออกให้หมดหลังจากการย้อมสี
5. การทอผ้า คือ การนำเส้นฝ้ายที่มัดหมี่แล้วมาทำการทอ โดยแบ่งเส้นฝ้ายออกเป็น 2 ชุด เส้นฝ้ายยืน จะถูกขึงไปตามความยาวผ้าเป็นส่วนที่อยู่ติดกับกี่ทอ หรือแกนม้วนด้านยืน ส่วนเส้นฝ้ายพุ่งจะถูกกรอเข้ากระสวย เพื่อให้กระสวยเป็นตัวนำเส้นด้ายพุ่งสอดขัดเส้นด้ายยืนเป็นมุมฉากทอสลับกันไปตลอดความยาวของผืนผ้า ทั้งนี้การสอดด้ายพุ่งแต่ละเส้นต้องสอดให้สุดถึงริมผ้าแต่ละด้าน แล้วจึงวกกลับมา จะทำให้เกิดริมผ้าเป็นเส้นตรงทั้งสองด้านส่วนลวดลายชองผ้านั้นขึ้นอยู่กับการวางลายผ้าตามแบบของผู้ทอที่ได้ทำการมัดหมี่ไว้ ถือเป็นอันเสร็จสมบูรณ์