คนโทน้ำโบราณสมัยล้านนา

กลุ่มงานศิลปหัตถกรรม

คนโทน้ำศิลาดลโบราณทรงฟักทอง ผู้สร้างสรรค์ได้รับแรงบันดาลใจมาจากคนโทน้ำล้านนาโบราณที่ขุดพบที่จังหวัดเชียงใหม่ โดดเด่นด้วยการแกะลายแบบเซาะร่องบนชิ้นงาน  เขียนลายดอกพิกุลและเพิ่มความโดดเด่นด้วยเส้นน้ำทอง

ประเภทงานหัตถกรรม :
เครื่องดิน
ขนาด :
สูง 34 ซ.ม. จุน้ำได้ 2 ลิตร ปากคนโทเส้นผ่าศูนย์กลาง 14 ซม.
วัสดุ :
ดินเหนียวสีดำ (Ball Clay) เนื้อดินปั้นชนิดสโตนแวร์
อายุ/ปีที่ผลิต :
2548
รายละเอียดชิ้นงาน

เทคนิคที่ใช้ : การขึ้นรูปด้วยวิธีการใช้น้ำสลิป (น้ำดิน) ในการเทหล่อจากต้นแบบ  การสร้างลายบนผิวงาน  และการเขียนลาย

กรรมวิธีการสร้างสรรค์

  1. เตรียมดินตามสูตรเพื่อให้มีความเหนียวในประมาณที่พอเหมาะสำหรับการขึ้นรูปด้วยวิธีการใช้น้ำสลิป (น้ำดิน)
  2. ขึ้นรูปด้วยวิธีการใช้น้ำสลิป (น้ำดิน) ด้วยการเทหล่อจากต้นแบบแม่พิมพ์ โดยนำดินมาละลายให้เป็นน้ำดินเหลวๆ เทใส่แบบพิมพ์หรือเบ้า กำหนดเนื้อดินของภาชนะหนาหรือบางอยู่ที่การควบคุมระยะเวลาที่น้ำดินอยู่ในแบบพิมพ์หรือเบ้า ถ้าใช้เวลามากเนื้อดินผลิตภัณฑ์ก็จะหนา ถ้าใช้เวลาน้อยเนื้อผลิตภัณฑ์ก็จะบาง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของปูนพลาสเตอร์ที่ใช้ทำแบบพิมพ์หรือเบ้าด้วยว่าดูดซึมน้ำได้ดีเพียงใด
  3. เมื่อชิ้นงานหมาดประมาณ 50% นำมาตกแต่งชิ้นงานให้เรียบด้วยการขูดลาย และการเซาะร่องให้เกิดลายบนชิ้นงาน  และเก็บรายละเอียดชิ้นงาน
  4. ใช้ฟองน้ำชุบน้ำพอหมาด เช็ดเก็บรายละเอียด และตรวจดูความเรียบร้อยของชิ้นงานอีกครั้ง
  5. นำชิ้นงานที่เป็นดินดิบแห้งสนิทเข้าเตาเผาเพื่อเผาครั้งที่ 1 หรือเรียกว่าการเผาดิบ (Biscuit Firing) ที่อุณหภูมิ 800 องศาเซลเซียส โดยให้เกิดการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ ใช้เวลาเผาประมาณ 5 – 6 ชั่วโมง แล้วทิ้งไว้ให้เย็นตัวตามธรรมชาติอีกประมาณ 12 ชั่วโมง
  6. นำชิ้นงานออกจากเตามาทำความสะอาดด้วยฟองน้ำชุบหมาดๆ เพื่อเช็ดฝุ่นผงเล็กที่เกาะผิวชิ้นงานออกให้หมด
  7. นำชิ้นงานมาสร้างสรรค์ลวดลาย ด้วยการร่างลวดลายด้วยดินสอตามต้องการ
  8. ใช้สีเขียนลวดลายหรือแต้มตามที่ร่างไว้ สีที่นิยมใช้กับงานศิลาดลคือสีดำหรือสีน้ำตาล
  9. นำชิ้นงานที่เขียนสีลวดลายแล้วมาชุบน้ำเคลือบศิลาดลที่ผสมเตรียมไว้  ซึ่งแต่เดิมน้ำเคลือบสีเขียวเกิดจากการนำไม้รกฟ้า และไม้มะก่อ มาเผาเอาขี้เถ้า และดินหน้านาแต่ในปัจจุบันได้พัฒนามาใช้หินปูน หินเขี้ยวหนุมาน แร่เฟสสปาร์ สนิมเหล็ก และดินเหนียวแทน
  10. นำชิ้นงานไปเผารอบที่ 2 โดยเผาที่อุณหภูมิ 1,260 – 1,280 องศาสเซลเซียส ใช้เวลาประมาณ 12 ชั่วโมง การเผาในรอบนี้ใช้การเผาแบบลดออกซิเจน (Reduction Firing) แล้วปล่อยไว้ให้เย็นประมาณ 12 – 15 ชั่วโมง เพื่อให้ชิ้นงานเกิดสีเขียวแตกลายงา
  11. ตกแต่งชิ้นงานด้วยการลงน้ำทอง ซึ่งเป็นส่วนผสมจากทองคำแท้ในตำแหน่งต่างๆ ของชิ้นงาน ก่อนนำไปเผาครั้งที่ 3 ที่อุณหภูมิ 800 องศาเซลเซียส  ประมาณ 5-6 ชั่วโมง การเผาในรอบนี้ต้องระวังไม่ให้เตาเผามีไอน้ำหรือความชื้นโดยเด็ดขาด เนื่องจากความชื้นหรือไอน้ำจะส่งผลต่อการเผาน้ำทอง ทำให้น้ำทองที่เขียนลงบนชิ้นงานไม่เงางาม
  12. ตกแต่งชิ้นงานให้เรียบร้อย
ข้อมูลแหล่งที่มา