ผ้าเช็ดหน้า คนในพื้นที่มักเรียกกันว่า “ลูกผ้า” หรือ “ผ้านุ้ย” (นุ้ย แปลว่าเล็ก) หากใช้สำหรับเป็นผ้าเช็ดปากนิยมทอเป็นผ้าพื้นหรือผ้าตาสีแดง และหากมีการทอเป็นลวดลายนิยมใช้เส้นยืนสีแดงยกดอกด้วยสีเหลืองหรือสีขาว มีการสร้างสรรค์เพื่อใช้งานหลากหลายรูปแบบ ทั้งสำหรับปูกราบพระ กราบขอขมา ห่อขันหมาก หรือเป็นผ้าเช็ดปาก รวมถึงเป็นผ้าประดับที่เอาใช้เหน็บเอวอวดกัน นิยมใช้ทั้งหญิงและชาย
ผ้าเช็ดหน้าลายแก้วชิงดวงสีแดง ทอลายด้วยไหมสีทอง โดยการใช้เส้นยืนเป็นฝ้ายสีแดง และเส้นพุ่งเป็นไหมสีทอง ลายแก้วชิงดวงมีลักษณะลายเป็นวงกลมหรือรูปไข่เกี่ยวร้อยทับกัน ภายในช่องที่เป็นใจกลางมีลูกแก้วฝูง 4 เม็ด ส่วนช่องที่เกี่ยวทับกัน 4 ช่อง ใน 1 วง จะมีลูกแก้วฝูงช่องละ 2 เม็ด ซึ่งจะอยู่ในเขตของวงกลม 2 วง ดูคล้ายกับแกว 2 ดวงแย่งชิงกันอยู่ จึงเรียกชื่อลายนี้ว่า “แก้วชิงดวง” บริเวณริมผ้า ถอดรูปแบบโครงสร้างผ้าทอนาหมื่นศรี โดยล้อมรอบลายผ้าด้วยแม่แคร่ และลูกกียบสีขาวและสีแดง เย็บขอบผ้าทั้ง 4 ด้าน
เทคนิคที่ใช้ : การนำลายผ้าโบราณมาดัดแปลงหรือประยุกต์จากการทอด้วยกี่โบราณ นำมาเก็บลายทอด้วยกี่กระตุก มีลวดลายสวยงามดั้งเดิมและทอได้รวดเร็วขึ้น
กรรมวิธีและขั้นตอนการทำงาน :
1. หันด้าย เส้นด้ายที่ใช้ในการทอผ้ามี 2 ชนิดใหญ่ ๆ ได้แก่ ด้ายยืนกับด้านพุ่ง ด้ายยืนคือส่วนที่เป็นโครงร่างของผืนผ้า ส่วนด้ายพุ่งเป็นเส้นด้ายที่ทอกลับไปมาเพื่อให้เกิดเป็นผืนผ้า ด้ายพุ่งจะแบ่งย่อยไปตามลักษณะผ้า ถ้าเป็นผ้าพื้นหรือผ้าตาใช้ด้ายพุ่งชนิดเดียวเรียกว่าด้ายตี ส่วนผ้ายกดอกจะต้องเพิ่มด้ายโส คือ ด้ายพุ่งสำหรับใช้สลับกับด้ายตี เพื่อทำให้เนื้อผ้าแน่นขึ้นและหนุนด้ายตีให้เห็นดอกเด่นชัด
2.ค้นหูก หรือการเดินดายเส้นยืน จะคำนวณตามความกว้างของฟันฟืม ความยาวของผ้าที่ต้องการ และเบอร์ของเส้นด้ายตามลักษณะของผ้าที่ต้องการ ในการเดินด้ายให้ถือหลักว่าเดินตามลำดับ ริมตีน แม่แคร่ ลูกเกียบ แล้วจึงเดินส่วนที่ทอลาย เสร็จแล้ววนกลับมาที่ลูกเกียบ แม่แคร่ และริมตีนของอีกด้านหนึ่ง
3. สอดฟันฟืม โดยต้องใช้คนช่วย 2 คน เตรียมไม้เรียวใหญ่ ๆ ไว้ 1 อัน ไว้เป็นไม้รับด้ายและตะขอเบ็ด 1อัน นำด้ายในห่อเตรียมไว้มาวางหลังฟันฟืม ให้คนอยู่ด้านหน้าคนหนึ่ง ทำหน้าที่สอดตะขอเบ็ดผ่านช่อฟันฟืม อีกคนหนึ่งคอยจัดเส้นด้ายคล้องปลายเบ็ด เมื่อดึงหัวด้ายผ่านช่องฟันฟืมมาแล้วก็คล้องไว้กับเบ็ดก่อน ตรวจให้ทุกช่องฟันฟืมมีการสอดเส้นด้ายครบทุกช่องหรือสอดซ้ำไม่ได้ เพราะถ้าผิดพลาดแล้วจะทำให้ ผ้าเรียบไม่เสมอกัน
4. ม้วนด้ายหรือม้วนหูก ในพื้นที่ที่กว้างเพียงพอกับความยาวของเส้นด้าย โดยก่อนย้ายม้วนด้ายและฟันฟืมให้เตรียมไม้ไผ่ยาวไว้ เพื่อใช้เป็นหลักในการดึงเส้นด้ายให้ตึง โดยเอาปลายไม้สองข้างไปขัดกับเสาหลักและผูกไว้กับไม้รับด้วย ขั้นตอนนี้ต้องให้ฟันฟืมอยู่ในลักษณะตั้งขึ้น จัดปลายด้ายในไม้ลูกพันให้เรียงเป็นระเบียบ เอาไม้ลูกพันประกบในร่อง 2 ข้าง ของไม้ม้วนด้าย ม้วนและปรับให้ตึงสม่ำเสมอกัน เหลือเส้นด้ายไว้ประมาณ 1 ศอก นำไปผูกเข้ากับกี่สั้นๆ เรียกว่าเข้ากี่ คือ เอาไม้พันหัวด้ายไปสอดในลูกตุ้มโยงไว้ ส่วนไม้รับด้ายนั้นไปวางไว้ในร่องสำหรับวางปั่นหรือไม้หน้าผ้า ยังไม่ถอดไปประกบกับปั่นจนกว่าจะทอผ้าได้ความยาวเพียงพอม้วนใส่ปั่นได้ 1 รอบ
5. ก่อเขาลายขัด หรือเก็บตะกอลายขัด คือการร้อยเส้นด้ายเพื่อแยกเส้นด้ายให้ชุดบนกับชุดล่าง ซึ่งไขว้กันไว้ตั้งแต่เก็บเส้นด้ายในการเดินด้าย
6. เก็บลาย เรียกว่าคัดลาย ตามลักษณะลวดลายของผ้าที่ต้องการทอ โดยการคัดเส้นด้ายแยกขึ้นลงตามลักษณะของลาย โดยเส้นด้ายที่เก็บลายคือส่วนที่อยู่ถัดจากลูกเกียบเข้าไปเท่านั้น
7. ก่อเขายกดอก เมื่อเก็บลายครบทุกนัดแล้วจึงเริ่มก่อเขาหรือเก็บตะกอดอก โดยใช้เส้นด้ายเบอร์ 6 ผูกร้อยกลุ่มเส้นด้ายทีละชุดเฉพาะที่เป็นเส้นยกจนหมดทั้งนัด ใช้ปีกยิ่ว และผูกไว้กับไม้เรียวก่อเขาเช่นเดียวกับการก่อเขาลายขัด ทำเหมือนกันจนครบทุกนัด ลำดับการก่อเขาเรียงลำดับจากนัดที่ 1 ใกล้ตัว แล้วถัดไปตามลำดับ
8. การทอผ้า ลายยกดอกเกิดจากการใช้ด้ายพุ่ง 2 ชนิด คือ “ด้ายตี” เส้นด้ายที่ทำให้ดอกลายเป็นตัวนูนสูงกว่าสีพื้น ทอตามลายแต่ละนัด และ “ด้ายโส” ใช้ทอลายขัดสลับกับด้ายตีทุกครั้งเพื่อเป็นโครงร่างผืนผ้าและหนุนยกดอกให้นูนเด่น